วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553

เมื่อลืมแก้บน

เมื่อวันวิสาขบูชาที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๓๓ หลวงพ่อได้เตือนผู้ที่เคยบนไว้ แต่ลืมแก้บนและจำไม่ได้ว่าบนอะไรไว้บ้าง ให้จัดของแก้บนดังนี้

๑. บายศรีปากชาม ๗ ชั้น
๒. ข้าวปากหม้อ
๓. ไก่ต้ม ๑ ตัว
๔. หัวหมู ๑ หัว
ท่านให้ปูผ้าขาวตั้งเครื่องสังเวยเหล่านี้บนโต๊ะกลางแจ้ง จุดธูปเทียนอธิษฐาน ขอให้ท่านผู้มีพระคุณได้โปรดรับเครื่องสังเวยที่ข้าพเจ้าได้เคยบนไว้ และขอให้อดโทษแก่ข้าพเจ้าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเถิด

วิธีละความโกรธ..

ความโกรธเมื่อเกิดขึ้นแก่ผู้ใด ทำให้จิตของคนนั้นเร่าร้อน เป็นทุกข์ ไม่สบายใจ นอนไม่หลับ ฝันร้าย ถ้าโกรธมากๆ อาจทำให้ต้องไปฆ่าผู้อื่น ติดคุกติดตารางเป็นทุกข์ทั้งแก่ตัวเอง ทั้งแก่ผู้อื่น จะเจริญเมตตาจิตก็ลำบาก เพราะเมื่อเจริญไปแก่ผู้ที่เราโกรธอยู่ ก็เจริญไม่ขึ้น แต่ถ้าเราละความโกรธได้ เราก็สุข ดังพระบาลีว่า " โกธํ ฆตฺวา สุขํ เสสีติ " แปลว่า " ฆ่าความโกรธได้แล้วย่อมอยู่เป็นสุข " ฉะนั้น อาตมาจะได้นำวิธีละความโกรธที่ท่านแสดงไว้ใน " คัมภีร์วิสุทธิมรรค " มาแนะนำท่านผู้อ่าน มีถึง ๙ วิธี

๑. ระลึกถึงโทษของความโกรธ
บุคคลผู้มักโกรธนี้ ถูกความโกรธครอบงำแล้ว โกรธเต็มประดา ย่อมประพฤติชั่วด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ครั้นประพฤติชั่วด้วยกายวาจาใจแล้ว ย่อมเดือดร้อนในโลกนี้ ตายไปแล้วย่อมเกิดในอบายภูมิทั้ง ๔ ภูมิ หรือเราจะระลึกถึงโอวาทที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เช่นว่า " ผู้ใดโกรธตอบผู้ที่โกรธ ( ก่อน ) เพราะเหตุที่โกรธตอบนั้น ผู้นั้นกลับเลวกว่าผู้ที่โกรธ ( ก่อน ) นั้นเสียอีก ผู้ไม่โกรธตอบผู้โกรธ ( ก่อน ) ซึ่งว่าชนะสงครามที่ชนะได้ยาก ผู้ใดรู้ว่าผู้อื่นโกรธขึ้นมาแล้วสติระงับใจเสียได้ ( ไม่โกรธตอบ ) ผู้นั้นชื่อว่าประพฤติเป็นประโยชน์ด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย คือทั้งฝ่ายตนและฝ่ายผู้อื่น และผู้ที่มัวโกรธอยู่อย่างนี้ ไม่ชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วย "
๒. ระลึกถึงความดีของเขา
ถ้าวิธี ๑ ไม่สำเร็จ ลองวิธีที่ ๒ คือระลึกถึงความดีของเขา เพราะบางคนความประพฤติทางกาย เขาปฏิบัติดีเป็นอันมาก ชนทั้งปวงก็รู้ได้ แต่วาจาและใจไม่เรียบร้อย เราก็ระลึกถึงแต่ความดีทางกายของเขาอย่างเดียว บางคนดีทางวาจาอย่งเดียว พูดจาอ่อนหวาน พูดให้คนอื่นสบายใจมีหน้าชื่อบาน ทักก่อน แต่ความประพฤติทางกายและใจไม่เรียบร้อย เราก็อย่าคิดถึงทางกายและใจ ระลึกถึงแต่ความดีทางวาจาอย่างเดียว บางคนดีทางใจเท่านั้น ความเรียบร้อยทางใจของเขานั้น ปรากฏแก่ชนทั้งปวงในการทำกิจต่างๆ เช่น การไหว้พระเจดีย์ เขาย่อมไหว้โดยเคารพไม่นั่งใจลอย โงกง่วงอยู่ในที่ฟังธรรม เราก็ระลึกถึงแต่ความเรียบร้อยทางใจของเขาอย่างเดียวเถิด สำหรับบางคนประพฤติไม่ดีทั้งทางกาย วาจา ใจ เราควรตั้งความกรุณาในบุคคลนั้นด้วยเถิด ( สงสาร ) " เวลานี้เขาอยู่ในโลกมนุษย์แต่ว่าอีกไม่นาน เขาก็ต้องไปเพิ่มให้หมานรกทั้ง ๘ ขุม เต็มขึ้น เมื่อทำใจเช่นนี้ ความอาฆาต โกรธแค้น ย่อมระงับลงได้ เพราะอาศัยความกรุณา "
๓. พึงสอนตนว่า " ความโกรธคือการทำความทุกข์ให้ตนเอง "
เช่นว่า " เจ้าไปพะนอความโกรธ อันเป็นตัวตัดมูลรากของศีลทั้งหลายที่เจ้ารักษาเสีย ขอถามหน่อย ใครโง่เหมือนเจ้าบ้างเล่า เจ้าโกรธว่า คนอื่นทำกรรมป่าเถื่อน ( กรรมชั่ว ) ให้อย่างไรหนอ เจ้าจึงปรารถนาจะทำกรรมเช่นเดียวกันนั้นเสียเองเล่า ถ้าคนอื่นอยากให้เจ้าโกรธ จึงทำความไม่พอใจให้ไฉนเจ้าจึงจะช่วยทำความตั้งใจของเขาให้สำเร็จ โดยปล่อยให้ความโกรธเกิดขึ้นเล่า น่าตำหนิ เจ้าโกรธแล้วจักได้ทำทุกข์ให้แก่เขาหรือไม่ก็ตาม แต่เดี๋ยวนี้ เจ้าก็ได้เบียดเบียนตนเองด้วยความโกรธทุกข์ ( ความทุกข์ใจเพราะความโกรธ )อยู่แท้ๆ
๔. พิจารณาความที่สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของ ๆ ตน
ถ้ายังไม่หายโกรธ พึงพิจารณาให้เห็นว่าตนและคนอื่นต่างมีกรรมเป็นของ ๆ ตน เช่นว่า เจ้าโกรธเขาแล้ว เจ้าจักทำอะไร กรรมที่มีโทสะเป็นเหตุ จักเป็นไปเพื่อความเสื่อมเสียแก่ตัวเจ้าเองมิใช่หรือ เจ้าจักทำกรรมใดไว้ เจ้าจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น กรรมอันนี้จะสามารถให้สมบัติทั้งหลายมีความเป็นพระราชา พระอินทร์ เป็นต้น ก็หามิได้เลย กรรมนี้มีแต่จะทำให้เจ้าเสวยทุกข์ในเรือนจำ ทุกข์ในนรกเป็นต้น อย่างนี้แล้วจึงพิจารณาถึงฝ่ายคนอื่นบ้าง ดังที่พิจารณาในฝ่ายตน
๕. พิจารณาถึงความประพฤติในกาลก่อนของพระศาสดา
เช่นว่า พระศาสดาของเจ้าในกาลก่อนแต่การตรัสรู้แม้เป็นพระโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญพระบารมีอยู่ตลอด ๔ อสงไขยกับแสนกัป มิได้ทรงยังจิตให้คิดประทุษร้ายในบุคคลทั้งหลายผู้เป็นศัตรู แม้เป็นผู้ปลงพระชนม์เอาในชาตินั้น เช่น ใน ขันติวาทีชาดก พระโพธิสัตว์ เมื่อพระราชาพระนามว่ากลาพุ ผู้โง่เขาถามว่า สมณะ แกกล่าววาทะอะไร ตอบว่า อาตมากล่าววาทะคือขันติ ( ความอดทน ) ถูกโบยด้วยหวายทั้งหนามแล้ว ตัดมือและเท้าเสีย ก็ทรงมิได้ทำแม้แต่อาการขุ่นเคือง หรือ เรื่องใน มหากปิชาดก พระโพธิสัตว์สัตว์เกิดเป็นกระบี่ใหญ่ ( ลิง ) เมื่อถูกชายผู้หนึ่งผู้ที่ตนเองช่วยฉุดขึ้นจากเหวรอดชีวิตแล้ว ยังคิดร้ายว่า " ลิงนี่ก็เป็นอาหารของพวกมนุษย์เหมือนสัตว์ป่าอื่น ๆ ในป่านั่งเอง อย่ากระนั้นเลย เราก็หิวแล้ว .ฆ่าลิงตัวนี้กินเสียเถิดน่ะ เราก็อิ่มแล้ว จะถือเอาเนื้อมันเป็นเสบียงไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จักข้ามทางกันดารไปได้เสบียงก็จักมีแก่เราด้วย " ดังนี้แล้ว ยกก้อนหินทุ่มหัวเอากระบี่ใหญ่ก็ยังมองชายนั้น ด้วยดวงตาอันนองด้วยน้ำตา กล่าวกะเขาด้วยดีว่า นายจ๋า นายอย่าทำกะข้าซิ น่าติ! นาย ทำกรรมเช่นนี้ได้ ( ลงคอ ) นายก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีอายุยืนควรแต่จะห้ามคนอื่น ( มิให้ทำร้ายกัน แต่นี่นายกลับทำร้ายเสียเอง ) ไม่ยังจิตให้คิดร้ายในชายผู้นั้น ไม่คิดถึงความทุกข์ของตนเลย ยังพาชายผู้นั้นให้ถึงที่ ๆ ปลอดภัยเสียด้วย
๖. พิจารณาถึงความที่เคยเกี่ยวข้องกันในสังสารวัฏ
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า สัตว์ผู้ที่ไม่เคยเป็นมารดา ไม่เคยเป็นบิดา ไม่เคยเป็นพี่น้องชาย ไม่เคยเป็นพี่น้องหญิง ไม่เคยเป็นบุตร ไม่เคยเป็นธิดา มิใช่หาได้ง่าย เพราะแะนั้น เราพึงยังจิตอย่างนี้ ให้เกิดขึ้นในผู้นั้นว่า " ผู้นี้เป็นมารดาในอดีตของเรา รักษาเราอยู่ในท้อง ไม่แสดงอาการเกลียดสิ่งปฏิกูลทั้งหลาย มีอุจจาระ ปัสสาวะ น้ำลาย และน้ำมูก เป็นต้น ของเรา เช็ดได้ราวกะจันทร์แดง ( ต้นไม้หอมชนิดหนึ่ง ) ให้เรานอนแนบอก อุ้มเราไป เลี้ยงเรามา..เป็นบิดา ในอดีตของเรา ประกอบอาชีพต่างๆ ทำงานที่ยากอื่นๆ บ้างเพื่อประโยชน์แก่ตัวเรา คิดว่า จักเลี้ยงลูกน้อย รวบรวมทรัพย์ด้วยการงานนั้น ๆ เลี้ยงเรามา... การทำใจร้าย โกรธเคืองในบุคคลนั้น ไม่สมควรแก่เราเลย "
๗. พิจารณาอานิสงฆ์เมตตา
ถ้ายังไม่อาจดับความโกรธได้ ลองพิจารณาอานิงส์ของเมตตา ถ้าเราละความโกรธได้ มีจิตเมตตาปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข ก็จะได้รับอานิสงส์ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มี ๑๑ อย่าง คือ
๑. หลับเป็นสุข ๒. ตื่นเป็นสุข ๓. ไม่ฝันร้าย  ๔. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
๕. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย  ๖. เทวดาย่อมรักษาผู้นั้น 
๗. ไฟ พิษ หรือศัสตรา ยอ่มไม่ทำร้ายผู้นั้น   ๘. จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิเร็ว
๙. สีหน้าผ่องใส  ๑๐. ไม่หลงตาย คือ มีสติก่อนตาย
๑๑. เมื่อไม่บรรลุคุณวิเศษที่ยิ่ง ย่อมเข้าถึงพรหมโลก
๘. ใช้วิธีแยกธาตุ
พึงสอนตนอย่างนี้ว่า " ตัวเจ้าเมื่อโกรธบุคคลนั้น โกรธอะไร โกรธผมหรือ หรือว่า โกรธขน โกรธเล็บ ฯ ล ฯ หรือมิฉะนั้น ก็โกรธธาตุดิน โกรธธาตุน้ำ โกรธธาตุไฟ หรือ โกรธธาตุลม เมื่อเห็นว่ามีแต่ธาตุ แล้วเราจะโกรธไปทำไม "
๙. วิธีสุท้าย - ทำการให้และการแบ่ง
ถ้ายังไม่หายโกรธอีก พึงให้ของ ๆ ตนแก่เขา รับของๆ เขามาเพื่อตนเอง แต่ถ้าเขามีอาชีพไม่บริสุทธิ์ ก็พึงให้แต่ของๆ ตนไปผ่ายเดียว อย่ารับของ ๆ เขาเลย เมื่อเราทำไปอย่างนั้น ความอาฆาตในบุคคลนั้น จะระงับไปได้ ส่วนความโกรธของอีกฝ่ายหนึ่ง แม้จะติดตามมาตั้งแต่อดีตชาติ ก็ระงับไปในทันทีเหมือนกัน ดังที่พระพทุธองค์ตรัสไว้ว่า " ททมาโน ปิโย โหติ " แปลว่า " ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ( ของผู้รับ ) "
" เขาว่าเรา เราอย่าโกรธ ลงโทษเขา ในเมื่อเรา นี้ไม่เป็น เช่นเขาว่า
หากเราเป็น จริงจัง ดังวาจา   เมื่อเขาว่า อย่าโกรธเขา เราเป็นจริง "

คัดจากหนังสือ ตายแล้วไปไหน ? หน้า ๓๒ - ๓๘
เรียบเรียงโดย พระมหาสุสวัสดิ์ จนฺทปญฺโญ ป.ธ.๙
ที่มาของข้อความในการพิมพ์ : ถ้าตกหล่น หรือ พิมพ์ผิด ขออภัยด้วยครับ

วิธีทำให้บ้านเป็นสวรรค์

วิธีทำบ้านให้เป็นสวรรค์ ๑๐ ประการ มีวิธีปฏิบัติแบบเป็นสูตรสำเร็จ ดังนี้ :-

โดย...นักบวชปาซาน
วัดพระมหาชนก เมืองกริฟฟิน รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
๑.ทานมัย รู้จักการให้
การให้ ต้องให้ ให้เป็น การให้ที่ถูกต้อง ต้องเป็นการให้ที่ให้ด้วยความรู้สึกที่เต็มใจ
พอใจ บริสุทธิ์ใจอย่างเต็มที่ มีความรู้สึกดีใจที่ได้ให้ ได้ทำ หวังให้เขามีความสุข
โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆทั้งสิ้น ขอให้เขาสุขใจ มีรอยยิ้มก็พอ
ขอยกตัวอย่าง เรื่องการให้ที่เรามักทำกันอยู่เป็นประจำ เช่น การทำอาหาร
การกวาดบ้าน การซักเสื้อผ้า การขับรถ การพูดคุย ทุกอย่างที่ทำไปนั้น
ล้วนอยู่ในขบวนการ ของการให้ทั้งหมดทั้งสิ้น
แต่ในนิยามของคำว่า "ให้" มีข้อแม้อยู่ว่า ต้องใส่ความรู้สึกที่ดีลงไปด้วย
ไม่ใช่สักแต่ว่าให้ สักแต่ว่าทำแต่อย่างเดียว
ยกตัวอย่างเช่น การชงกาแฟให้ใครสักคน ขณะที่ชง ก็ต้องคิดในใจไปด้วยว่า
ขอให้คนที่จะดื่มกาแฟถ้วยนี้ ขอให้เขาจงมีแต่ความสุข ความสำเร็จ
ความสมหวังทุกภพทุกชาติตลอดไป หรือจะคิดจะว่าอะไรก็ได้
ขอให้เป็นคำที่เป็นมงคลก็ว่าได้หมด
ภาษาพระ ท่านเรียกว่าการอธิษฐาน คือ ตั้งใจให้เป็นบุญ
ทุกครั้งที่ทำอะไรลงไป ที่เป็นไปเพื่อผู้อื่น เพื่อส่วนรวม เพื่อครอบครัว
ต้องใส่ความคิดแบบนี้ไปด้วยทุกครั้ง นั้นจึงจะครบสูตรของการให้
การกระทำที่ดีที่เป็นบุญ
การกวาดบ้าน การถูบ้าน ล้างจาน ล้างห้องน้ำ ก็ต้องใส่ความรู้สึกที่ดีๆลงไปด้วยทุกครั้ง
ถ้าไม่ได้ใส่ความคิดที่ดีลงไป ก็จะเข้าสูตรที่ว่า สักแต่ว่าทำ จะไม่เกิดบุญ
เกิดพลังที่จะดลบันดาลให้บ้านเป็นสวรรค์ได้
๒.ศีลมัย ประพฤติตนเป็นคนดีอย่างแท้จริง
คนดี ก็ คือ คนที่มีความประพฤติที่ไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อน ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน
เป็นคนมีความรับผิด มีระเบียบวินัยในเรื่องการใช้จ่ายเงิน การใช้สิ่งของ
มีความสะอาดที่เป็นหนึ่งเป็นเลิศ
เคารพในสัจจะสัญญา ทำหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบให้เสร็จสมบูรณ์ ถูกต้อง
และอย่างเต็มใจ เคารพต่อกฏกติกา ที่ได้วางไว้ กำหนดไว้แล้วอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
เวลาจะทำอะไรลงไป ถือว่าเป็นการฝึกตัวเองไปในตัว จะไม่ทำให้เราเสียนิสัย
จะไม่ทำอะไรที่จะให้เป็นปัญหา เกิดปัญหาตามมา เกิดความเสียหาย
เกิดบาปเกิดกรรมตามมา เป็นต้น
คนดีในบ้าน คือ คนที่ทำหน้าที่ของตนอย่างสมบูรณ์
ทำหน้าที่ในครอบครัวอย่างสมบูรณ์ ไม่เบียดเบียนตน
และคนในครอบครัวให้ได้รับความเดือดร้อน
๓. ภาวนามัย มีจิตคิดแต่ในเรื่องที่ดี ที่เป็นบุญต่อกัน
ความคิดของคนเรานั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับชีวิตมากทีเดียว
ความสุข และความทุกข์ มันก็มีที่เกิด ที่เพาะเชื้อของมันตรงจุดนี้
ใจดีก็มีสุข ใจทุกข์ก็สุขไม่มี
คนเราหากว่าใจเกิดเสียอย่างเดียว ทุกอย่างก็จะเสียหมด
ทุกอย่างก็จะหมดความหมาย อาหารที่เคยชอบ เคยกินแล้วอร่อย ก็จะไม่อร่อย
เพลงที่เคยฟังแล้วไพเราะ ก็จะหมดความไพเราะ ฟังแบบไม่มีความสุข
แบบไม่มีชีวิตชีวา อะไรที่เคยว่าดีว่างาม ก็จะหมดความดีความงามไปเสียหมด
เพราะฉะนั้น ต้องระวังเรื่องความคิดนี้ให้ดี อย่าให้เกิดอาการเสียดุล
เสียคุณภาพเป็นเด็ดขาด เวลาจะคิดถึงใคร คนใดคนหนึ่งก็ตาม
โดยเฉพาะกับบุคคลในบ้าน ก็ต้องคิดให้เป็น คิดให้ถูก
เวลาคิดก็จะไม่คิดว่าเราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา หรือเขาดีกว่าเรา เขาเลวกว่าเรา
จะต้องไม่คิดแบบนั้น จะไม่เป็นคนที่คิดมากเกินความจริง
เรื่องบางเรื่องทั้งที่ยังไม่เป็นจริง ก็คิดว่ามันจะต้องเป็นจริง ต้องไม่คิดหวาดระแวงจนตัวเองหมดสุข เป็นเหตุให้คนในบ้าน
หมดความสุขไปด้วย
อะไรที่ยังไม่เกิด ก็อย่าเพิ่งคิดถึงมันจนเป็นทุกข์ เห็นบ้านอื่นเขาเป็น
คนอื่นเขาเป็น ก็มาคิดว่าคนในบ้านของเราก็เป็นเหมือนเขา
จะต้องไม่คิดเรื่องเล็ก ให้เป็นเรื่องใหญ่ จะต้องไม่เบิกความทุกข์มาใช้ก่อน
การคิดถึงคนในครอบครัว ก็ต้องเป็นความคิด ที่มีความรัก ความเมตตา
ความบริสุทธิ์ใจเป็นพื้นฐาน ไม่คิดแบบจับผิด ไม่คิดแบบตำหนิในใจ
ไม่คิดแบบหวาดระแวง ต้องคิดให้เป็นบุญต่อกัน
บ้านที่ไม่เป็นบ้าน ครอบครัวที่ไม่เป็นครอบครัว ก็มาจากเจ้าตัวนี้
เก็บความคิดที่ไม่ดีไว้ทุกๆวัน พอมันมากขึ้น ก็กลายเป็นปืน เป็นมีด
เป็นคุก เป็นตาราง เป็นน้ำตาขึ้นมาในที่สุด
เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ เริ่มปรับที่ตัวเรา โดยบอกตัวเองว่า
เรามันก็ไม่ดีเท่าไรเหมือนกัน เราก็เคยผิดเคยพลาดมาเหมือนกัน
ต้องปรับต้องแก้ จะให้คนในบ้านถูกใจเราหมด เป็นไปไม่ได้
๔.อปจายนมัย เชื่อฟังกัน เคารพนับถือกัน
การยอมฟังกันบ้าง ถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่ง
ที่จะเป็นเหตุให้อะไรต่างๆดีขึ้น แก้ไขได้ง่ายขึ้น หากไม่ฟังกันทุกอย่างก็จบ
เช่น พ่อแม่ว่าอะไร บอกอะไร ก็ควรเอาใจใส่ บ้าง สนใจบ้าง ใครเตือนอะไรก็ฟัง
ก็ทำตามบ้าง น้องเคารพพี่ พี่ให้เกียรติน้อง ภรรยาเคารพสามี สามีให้เกียรติภรรยา
ต้องรู้จักการให้เกียรติซึ่งกันและกัน สวรรค์ก็จะเกิดขึ้นมาได้
ไม่ใช่จะเอาแต่ตัวเองถูกคนเดียว แบบนั้นก็แย่
คำเตือน คือขุมทรัพย์ เราอาจกำลังหลงอยู่ อาจจะมองไม่เห็นว่าอะไรผิดอะไรถูก
เมื่อมีคนบอกก็ต้องหยุด ต้องเลิกให้ได้ ถ้าเมื่อไรไม่ฟังกัน ไม่เคารพกัน
ประตูสวรรค์ก็ปิดลงทันที ประตูนรกก็เปิดรอรับเรา
๕.เวจยาวัจจมัย ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งและกัน
ในยามที่มีธุระ มีความจำเป็น
พระอาจารย์ชยสาโร ลูกศิษย์หลวงพ่อชา ท่านเทศน์ไว้ประโยคหนึ่งว่า
คนเรานั้น อย่าเป็นคนที่เอาหูไปนา เอาตาไปห้างฯ
ท่านสอนไว้ว่า หากใครมีธุระอะไร ก็ควรเสียสละเวลา ช่วยเขาบ้าง อย่าเมินเฉย
มีกิจธุระอะไรพอช่วยได้ก็ช่วยกันไป ท่านสอนไว้อย่างนั้น
เรื่องการช่วยกันนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับชีวิตครอบครัวมาก จะปล่อยให้แต่เพียง
คนเดียวรับผิดชอบคนเดียวไม่ได้ อะไรที่เราสามารถพอช่วยเขาได้ ก็ต้องช่วยกัน
อย่าสรุปว่า วันนี้ฉันทำงานทั้งวันแล้ว คุณทำคนเดียวเถอะ คิดแบบนั้นไม่ได้
ต้องรู้จักการแสดงออกซึ่งน้ำใจบ้าง ถ้าเขาเข้าใจเรา เขาก็จะบอกเองว่าไปพักเถอะ ฉันทำเอง
ลูกหลานพอที่จะช่วยงานช่วยรับผิดชอบ อะไรได้บ้าง ก็ต้องช่วยกันบ้าง
ไม่ควรจะปล่อยให้คุณพ่อคุณแม่ทำอย่างเดียว อย่าเห็นพ่อแม่ว่าเป็นคนรับใช้ไม่ดี
ทำไม่เป็น ก็ไปยืนให้กำลังใจบ้าง รู้จักถามสักคำก็ยังพอได้บุญ เป็นทุนสร้างบ้านให้เป็นสวรรค์ได้ ส่วนมากก็จะไม่สนใจทำบุญตัวนี้กันเอาเสียเลย
๖.ปัตติทานมัย ได้อะไรดีๆ ก็แบ่งปันกันกิน แบ่งปันกันใช้
เจออะไรสวยๆ ดีๆ ก็หัดคิดถึงคนที่บ้านบ้าง กินอะไรอร่อยๆ ก็คิดถึงคนที่บ้านบ้าง
ก่อนที่จะกลืนสักคำก็ยังดี นี่คือสูตร ที่ทำให้เกิดความเห็นอกเห็นใจ
การเป็นห่วงเป็นใย ซึ่งกันและกัน อย่าอร่อยแต่เพียงคนเดียว
อย่าสวยแต่เพียงคนเดียวบางคนน่าสงสารมาก ได้อาหารอร่อยก็แอบกินคนเดียว
มีอะไรดีๆ ก็เก็บไว้คนเดียว อย่าทำอย่างนั้น และอย่าคิดว่า
เขาไม่เคยซื้ออะไรมาให้เรากินเลย เราก็อย่าซื้ออะไรให้เขากินเช่นกัน
อย่าคิดอย่างนั้น จงคิดว่า เราจะต้องซื้ออะไรไปให้เขากินหนอ ถึงจะถูกต้อง
เราต้องเป็นคนคิดก่อน ทำก่อน เมื่อต่างคนต่างคิดกันแบบนี้ ครอบครัวก็จะอยู่ดีมีสุขได้
๗.ปัตตานุโมทนามัย แสดงความดีใจเมื่อใครพบความสุข ความสำเร็จ
อย่าให้มีรู้สึกอิจฉาริษยากันเช่น คนเรามักมีความรู้สึกนี้เกิดขึ้นได้เสมอ
เห็นคนในบ้านได้รับคำชม ก็รู้สึกไม่พอใจ คนในบ้านได้อะไรดีๆมา
ก็นึกในใจว่าทำไม เราไม่ได้บ้าง ความรู้สึกแบบนี้ถือว่าเป็นความรู้สึกที่ไม่ดี
ในกลุ่มลูกๆก็เช่นกัน หากพ่อแม่ให้อะไรคนใดคนหนึ่งในบ้าน ก็อย่าจ้องริษยาอิจฉากัน
การอิจฉาริษยาตาร้อน ย่อมทำให้บ้านเป็นนรกได้อย่างแน่นอน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
๘.ธัมมัสสวนมัย พากันไปศึกษาธรรมปฏิบัติธรรมทำบุญร่วมกัน
มีเวลาก็ชวนกันไปทำความดี สร้างความดีให้โลก ให้สังคม เช่น บ้านไหนเขามีงานบุญ
เราก็ต้องเสียสละเวลาบ้างไปบ้าง ถ้าเขาเชิญเราก็ต้องไป ไม่มีเวลามาก แวบหนึ่งก็ยังดี
ดีกว่าไม่ไปเลย วัดก็ต้องพากันไปบ้าง ไปทำบุญร่วมกันบ้าง จะได้มีบุญต่อกัน
ไปนั่งสมาธิทั้งครอบครัว ไปสวดมนต์ทั้งครอบครัว
พาครอบครัวไปให้พระอบรมสั่งสอนบ้าง จะได้รู้ว่าเราต้องปรับต้องแก้อะไร
วันสำคัญของพ่อ ของแม่ ของพี่ ของน้อง ก็ควรไปทำบุญให้พี่ให้น้องบ้าง
ชีวิตครอบครัวจะได้มีบุญรักษา มีบุญคุ้มครอง
มารจะได้ไม่มีโอกาสมาเบียดเบียนครอบครัวเรา
๙.ธัมมเทสนามัย แนะนำตักเตือน ให้ข้อคิด ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
การรู้จักให้กำลังใจซึ่งกันและกัน การให้ข้อคิด คอยให้ข้อแนะนำ คอยบอก
คอยสอน ถือว่าเป็นสิ่งที่จะต้องทำ และก็ควรเลือกเวลาทำด้วย ให้ดูจังหวะ
ว่าเวลาไหนควรบอกไม่ควรบอก ก่อนสอนลูก ก่อนบอกลูก ก็ควรพากันไป
ไหว้พระสวดมนต์ก่อน แล้วค่อยบอกค่อยสอน
บางคนพอมีความโกรธขึ้นมาก็เริ่มบ่น ก็คิดว่าเราสอนแล้วบอกแล้ว นั้นไม่ใช้
นั้นเขาเรียกว่า เป็นการสาปแช่ง ผิดหลักศาสนา
มีคนใดคนหนึ่งในครอบครัวมีปัญหา ก็ควรเอาใจใส่บ้าง คอยเป็นเพื่อน
คอยดูแล อย่าคิดซ้ำเติม อย่าตำหนิ คนเราผิดพลาดกันได้ ควรรู้จักให้อภัยกัน
๑๐.ทิฏฐุชุกัมม์ ปรับความคิด ให้มีความเห็นแนวเดียวกันจุดเดียวกัน
สุดท้าย คือ นายท้ายเรือ เรือจะเข้าฝั่ง หรือจะลงทะเลลึก ก็ตัวนี้ คือ ความคิด
ความอ่าน ที่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน จุดเดียวกัน
คนเราต่างพ่อ ต่างแม่ ต่างพี่ ต่างน้อง มาอยู่ด้วยกัน แน่นอนนิสัยย่อมต่างกัน
ต้องปรับ ต้องเปลี่ยน ให้มีความเห็นในทางเดียวกัน ตัวความคิดที่ไม่ตรงกันนี่แหล่ะ
คือ ตัวการที่จะทำ ให้เกิดการทะเลาะกัน หากปรับความคิดกันไม่ได้ ก็พากันไปปรับที่วัด
หรือกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือ ปัญหาจะได้ไม่เกิดขึ้น ครอบครัวจะได้เป็นเมืองสวรรค์
ทั้งหมดที่กล่าวมาภาษาพระเรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ แปลว่า เหตุให้เกิดบุญ เหตุให้ไปสวรรค์
บุญไม่จำเป็นต้องทำแต่ในวัดอย่างเดียวเท่านั้น
บุญก็เป็นเรื่องที่จำเป็น ที่จะต้องทำในบ้าน ให้ได้มากที่สุด และต้องทำให้ได้ทุกวัน
หากครอบครัวไหน ขาดการทำบุญในบ้าน ตามสูตรนี้แล้ว ครอบครัวนั้นก็น่าเป็นห่วงเหลือเกิน
ขอให้จำไว้ว่า บุญนั้นต้องไปฝึกที่วัด แล้วให้มาปฏิบัติที่บ้าน บ้านจะได้กลายเป็นสวรรค์ มีแต่ความสุขบนโลกใบนี้ตลอดไป

ผู้ประทุษร้ายเขาข้างเดียว เขาไม่ทำตอบ ได้รับโทษ ๑๐

๑. ประสบทุกขเวทนากล้าแข็ง
๒. ประสบหายนะความเสื่อม
๓. การแตกทำลายแห่งสรีระ (ตาย)
๔. อาพาธหนัก
๕. จิตฟุ้งซ่าน
๖. อุปสรรค เหตุขัดข้องจากผู้ใหญ่
๗. ถูกกล่าวหาร้ายแรง
๘. เสื่อมญาติ
๙. เสื่อมทรัพย์
๑๐. ไฟ หรือไฟป่าอาจไหม้บ้าน ผลที่ได้รับอันเป็นส่วนอนาคตคือ ตายแล้วย่อมเกิดในนรก
คัดลอกจากหนังสืออนุสรณ์งานบำเพ็ญกุศลศพ ครบ ๑ ปี
พระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (หลวงพ่อสาย อคฺควํโส)
อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ต. ท่าขนุน อ. ทองผาภูมิ จ. กาญจนบุรี

ข้อคิดดีดี

โลกกลมๆ ใบนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆของฟรีไม่เคยมี ของดีไม่เคยถูก
อยู่ให้ไว้ใจ ไปให้คิดถึง คนเราต้องเดินหน้า เวลายังเดินหน้าเลย
ไม่ต้องสนใจว่าแมวจะสีขาวหรือดำ ขอให้จับหนูได้ก็พอ
ยิ่งมีใจศรัทธา ยิ่งต้องมีสายตาที่เยือกเย็น
ในโลกกลม ๆ ใบนี้ ไม่มีคำว่า }แน่นอน~
คนเราเมื่อ ตัวตายก็ต้องลงดิน
ท้อแท้ได้ แต่อย่าท้อถอย อิจฉาได้ แต่อย่าริษยา พักได้ แต่อย่าหยุด
เหตุผลของคน ๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่ของคน อีกคนหนึ่ง
ถ้าไม่ลองก้าว จะไม่มีวันรู้ได้เลยว่า ข้างหน้าเป็นอย่างไร
หนทางอันยาวไกลนับหมื่นลี้ ต้องเริ่มต้นด้วยก้าวแรกก่อนเสมอ
ปัญหาทุกอย่าง อยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
จะเห็นค่าของความอบอุ่น เมื่อผ่านความเหน็บหนาวมาแล้ว
อันตรายที่สุดคือ การคาดหวัง
 เริ่มต้นดีแล้ว ลงท้ายก็ต้องดีด้วย อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
จงใช้สติ อย่าใช้อารมณ์ เบื้องหลังความเข้มแข็ง สมควรมีความอ่อนโยน
ไม่มีคำว่า บังเอิญ ในเรื่องของความรัก มีแต่คำว่า ตั้งใจ ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป
หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
หลังผ่านปัญหา จะรู้ว่าปัญหานั้นเล็กนิดเดียว
ไม่เป็นขุนนางนะ ได้ แต่ไม่เป็นคนไม่ได้
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง เมื่อวานก็สายเกินแล้วพรุ่งนี้ ก็สายเกินไป
อย่าหวังว่าจะได้รับความรัก จากคนที่คุณรัก เพราะคนที่คุณรัก ไม่ได้รักคุณ หมดทุกคน
เพื่อนทั่วไป ไม่เห็นคุณร้องไห้ เพื่อนแท้ มีหัวไหล่ไว้คอยซับน้ำตาให้
เพื่อนทั่วไป ถือขวดไวน์ติดมือมางานปาร์ตี้ของคุณ เพื่อนแท้ จะมาแต่หัววันเพื่อช่วยเตรียมงาน
เพื่อนทั่วไป คาดหวังให้คุณเคียงข้างเขาเสมอ เพื่อนแท้ คาดหวังที่จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป
เพื่อนทั่วไป เข้าหาผลประโยชน์ ที่ได้รับจากเรา

ลำบากเข้าไว้ต่อไปจะสบาย

คนเราถ้าจะประสบความสำเร็จได้ต้องผ่านความลำบากมาก่อน ถ้าสบาย...จะสำเร็จยาก คนเราเวลาลำบากแล้วมันจะต้องรีดเอาสมรรถนะของตัวเองทุกส่วนที่มีอยู่ออกมาเพื่อต่อสู้กับความลำบากนั้น แล้วมันจะทำให้ตัวเองมีความก้าวหน้าได้
คนในยุคปัจจุบันมันสบายเกิน ในเมื่อสบายเกิน ความก้าวหน้ามันจะมีน้อย ร่างกายของเราต้องเจอการกดดัน ก็คือ การฝึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ย้ำแล้วย้ำเล่า จนกระทั่งกระดูกเส้นเอ็นมันเข้มแข็งขึ้น สมรรถนะร่างกายมันจึงจะก้าวขึ้นสู่จุดสูงขึ้นได้ เรื่องของใจก็เหมือนกัน ถ้าหากเราอยู่ในสถานที่สบาย ๆ เลี่ยงความลำบากเอาความสบาย ถ้าหากไม่ได้สร้างบุญมาดีจริงประสบความสำเร็จยากมาก เพราะมันจะไม่รู้เลยว่าตัวเองมีสมรรถนะเท่าไหร่ โบราณเขาบอกว่าลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ แต่พวกเรามันสบายก่อนแล้วก็ตายเมื่อปลายมือ ไปไม่รอด
พระพุทธเจ้าท่านกำหนดธุดงควัตร ๑๓ ประการเอาไว้ เพื่อเค้นเอาสมรรถนะของพระภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ออกมา เราจะเลี่ยงไปฝึกอย่างอื่นก็ได้ ถ้าหากว่าจริตนิสัยชอบและทุ่มเท แต่ถ้าหากจริตนิสัยมันหยิบหย่งจับจด เอาดีได้ยาก ให้เอาธุดงค์ไปเลย ให้มันรู้สึกว่าลำบากแทบล้มประดาตาย เดี๋ยวมันก็เห็นทุกข์เอง ไม่อย่างนั้นมันไม่เห็น
อยู่สบายกินสบาย พอเจอธุดงควัตรเข้าไป เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ฉันมื้อเดียวเป็นวัตร นั่งอาสนะเดียวเป็นวัตร แค่นี้ก็จะแย่อยู่แล้ว หลวงปู่วัดพระพุทธบาทตากผ้าท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านไปธุดงค์แล้วหลงทาง เดินอดข้าวมาสองวัน พอวันที่สามหลุดออกจากชายป่า มาเจอบ้านโยมดีใจแทบตาย เห็นว่า ๑๑ โมงยังฉันได้ โยมเห็นว่าพระอดมาสองวันก็รีบหุงข้าวให้ ในระหว่างที่รอให้ข้าวสุกท่านเกิดเป็นลมไปก่อน ฟื้นขึ้นมาก็ปรากฏว่าเลยเที่ยงไปแล้ว ทำให้อด ไม่ได้ฉันอีก
พอวันที่สี่ท่านก็เดินไปเรื่อย ๆ กว่าจะเจอบ้านก็เกือบครึ่งวัน เมื่อบิณฑบาตได้ข้าวมาแล้ว ก็หลีกไปก็ปูผ้านั่งฉัน พอเปิดฝาบาตรฉันข้าวได้คำเดียว ช้างของชาวบ้านก็ดันตกมัน วิ่งมาทางนั้นพอดี หลวงปู่ท่านก็ต้องเผ่นลุกออกไป ทีนี้พระธุดงค์ท่านถือว่า นั่งฉันแล้ว...ถ้าลุกคือเลิกเลย แล้วหลวงปู่เพิ่งฉันได้คำเดียวด้วย ตกลงว่าสี่วันได้ฉันข้าวคำเดียว แต่ว่าท่านลำบากอย่างนั้นแล้วท่านมักจะได้มรรคได้ผล ตามที่ท่านต้องการ เพราะว่าจะให้ลำบากกว่านั้นมันไม่มีแล้ว อดจนแทบล้มประดาตาย แล้วท่านก็ยังไม่ยอมละเมิดศีล รักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต
ถ้าหากว่าทำตัวให้ลำบากไว้ ต่อไปอะไร ๆ ก็จะสบาย อาตมาเองตอนช่วงธุดงค์ ด้วยความที่ตัวเองลำบากมามาก เป็นลูกชาวไร่ ทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ พอมาเป็นทหารก็เจอการฝึกทั้งกลางวันกลางคืนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ร่างกายจิตใจมันก็เลยที่จะค่อนข้างแข็งแกร่ง เดินธุดงค์มันก็รู้ว่าลำบาก เชื่อไหมว่ามันลำบากเสียจนแทบล้มประดาตาย จนกระทั่งถึงวันที่ ๑๑ มันจึงยอมรับว่าทุกข์ ก่อนหน้านั้นมันไม่เคยยอมรับเลย มันนึกอยู่อย่างเดียวว่าแค่นี้กูไปได้ เพราะฉะนั้นถ้ามันไม่ลำบากถึงที่สุดจริง ๆ เราก็จะไม่นึกถึงความตาย มันไม่ลำบากจริง ๆ มันก็จะไม่นึกถึงความทุกข์ แล้วถ้าไม่ลำบากถึงที่สุดจริง ๆ สันดานอาตมาก็ไม่นึกขอให้คนช่วยเสียด้วย พอมันถึงที่สุดของที่สุดแล้วมันค่อยนึกถึงพระ นึกถึงครูบาอาจารย์ ไม่อย่างนั้นมันนึกอย่างเดียวว่าของแค่นี้เราเคยผ่านมาแล้ว เราไปได้
ก็เลยกลายเป็นว่าถ้าเราอยากจะเอาดีต้องยอมลำบาก สบายไม่ได้ ที่อาตมาออกจากวัดท่าซุงมาก็ด้วยเหตุนี้ เพราะว่าตอนที่อยู่วัดมันแทบจะก้าวถึงจุดสูงสุดแล้ว พระพี่พระน้องทั้งวัดเขายอมรับแล้วว่าเราแสบสุด ไม่มีใครยิ่งกว่านี้แล้ว ถ้าหากอยู่ลักษณะอย่างนั้นแล้วมันจะหาความก้าวหน้าไม่ได้ เพราะในเมื่อคนอื่นเขายกไว้ในที่สูงแล้วมันหาคู่แข่งไม่ได้ ในเมื่อมันหาคู่แข่งไม่ได้ถ้าไม่ใช่กำลังใจที่คิดจะใฝ่ดีจริง ๆ มันก็ไม่ไปดิ้นรน มันก็จะหยุดนิ่ง กลายเป็นน้ำเน่า แล้วก็มีอยู่ทางเดียวคือออกมาตกระกำลำบากข้างนอก มันก็จะได้รีดสมรรถภาพตัวเองออกมาอีก จะได้รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง

อยากให้ลูกๆได้อ่าน"คำสอนสมเด็จพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี)"

คำสอนสมเด็จพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี)
ลูกเอ๋ย....ยามที่พ่อแม่ของเจ้ามีอายุมากขึ้น...
ย่อมมีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน..
ความแข็งแรงของร่างกายที่เคยมีก็ลดลง...
ใจน้อย โกรธง่าย ความจำก็เสื่อม ขี้หลงขี้ลืม...
จิตใจก็หมดความสดชื่น...
ถึงแม้พวกเจ้าจะคอยเอาใจใส่ดูแลใกล้ชิดสักเพียงใดก็ตาม
ก็ไม่อาจช่วยให้พ่อแม่ของเจ้ามีความสุขได้เต็มที่...
เพราะพวกเจ้าทุกคนต่างก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ...
เจ้าช่วยท่านให้ได้รับความสุขเพียงการให้กินอยู่หลับนอน
อันเป็นความสุขทางกายเท่านั้น...
แต่จิตใจของท่านหาได้ร่าเริงสดชื่นผ่องใสไม่...
.....เจ้าจงจำไว้ว่า....การให้ความสุขแก่พ่อแม่อย่างแท้จริงก็คือ....
การให้ธรรมะ...ด้วยการสอนหลักธรรมง่ายๆ
ให้พ่อแม่ของเจ้า...พาท่านไปทำบุญทำทาน...
สอนท่านให้รู้จักการปฏิบัติบูชา...
สวดมนต์...ภาวนา...แผ่เมตตา
ธรรมะจะอยู่ในจิตใจของพ่อแม่เจ้าทุกภพทุกชาติ...
ถือว่าเป็นการทดแทนพระคุณที่สูงสุด...
เจ้าจงจำไว้นะลูกเอ๋ย....ฯ

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

Lock folder โดยไม่ต้องใช้โปรแกรม

สำหรับวิธีการ ล๊อก Folder ที่เราอยากจะเก็บไว้เป็นความลับไม่ต้องการให้คนอื่นมาเปิดดูไฟล์ใน Folder ของเราวันนี้ ขอเสนอวิธีการ ล๊อก Folder โดยการใช้ Bat file
วิธีการก็ง่ายๆ
ให้สร้าง Folder ที่คุณต้องการจะเก็บไฟล์นะครับ ในที่นี้ผมขอ สร้างเป็น ชื่อ Comfixclub นะครับ
วิธีการสร้าง Folder ทุกคนคงรู้อยู่แล้ว จากนั้นให้คุณเปิด Notepad แล้วพิมพ์ หรือ copy ของผมไปก็ได้ แล้วให้คุณปลี่ยนคำว่า Comfixclub เป็นชื่อ Folder  รูปแบบของการเขียนไฟล์ปลดล๊อก.bat
ren ชื่อfolder {20D04FE0-3AEA-1069-A2D8-08002B30309D} ชื่อfolder
ก็จะได้
ren Comfixclub.{20D04FE0-3AEA-1069-A2D8-08002B30309D} Comfixclub
*****หมายเหตุ ชื่อ Folder ห้ามแว้นวรรค นะครับ เช่น New Folder เนี่ยะไม่ได้นะครับ
เพราะว่าใน command มันไม่รู้จัก วรรค ครับมันจะหาแค่ Folder ที่ชื่อว่า New เท่านั้น
จากนั้นให้คุณ ไปที่ FileSave As ตั้งชื่อไฟล์ครับ ของผมผมจะตั้งชื่อว่า Key.bat ต้องเป็น .bat เท่านั้น
แล้วให้คุณกลับมาที่ Notepad อีกครั้งให้แก้โค้ดเป็นรูปแบบดังนี้
ren ชื่อfolder ชื่อfolder. {20D04FE0-3AEA-1069-A2D8-08002B30309D}
ระหว่างชื่อfolder ให้ เคาะหนึ่งน่ะครับแล้วก็ตามด้วยชื่อfolderคุณจะได้โค้ดเป็น
ren Comfixclub Comfixclub.{20D04FE0-3AEA-1069-A2D8-08002B30309D}
จากนั้นให้คุณ ไปที่ File Save As ตั้งชื่อไฟล์ครับของผมผมจะตั้งชื่อว่า Lock.bat ต้องเป็น .bat
เมื่อคุณต้องการ Lock โฟเดอร์ ให้คุณดับเบิ้ลคลิ๊กที่ไฟล์ Lock.bat
เมื่อคุณต้องการ ปลด Lock โฟเดอร์ ให้คุณดับเบิ้ลคลิ๊กที่ไฟล์ Key.bat
ผมได้แนบไฟล์ที่ผมทำไว้มาให้แล้วด้วยนะครับ สำหรับคนที่ไม่อยากเขียนเอง
แต่อยากลอกโฟเดอร์ไม่ให้คนอื่นเข้ามาคุณก็แค่เอาไฟล์ ไปเก็บในโฟเดอร์ Comfixclub
ของผมเท่านั้นเองเมื่อคุณต้องการ Lock โฟเดอร์ ให้คุณดับเบิ้ลคลิ๊กที่ไฟล์ Lock.bat
เมื่อคุณต้องการ ปลด Lock โฟเดอร์ ให้คุณดับเบิ้ลคลิ๊กที่ไฟล์ Key.bat

เคล็ดไม่ลับ การ Write CD ได้เกินความจุ ??

หลายๆ คนประสบปัญหาข้อมูลเกินแผ่น แต่เกินไปนิดเดียว ครั้นจะเอาลงอีกแผ่นก็กระไรอยู่
พอไปโพสถามที่โน่นที่นี่ก็มีแต่คนบอกว่าให้ Over Burn ไปเปิดหนังสือตำรับตำรา
คู่มือการใช้งานชนิดซียนไม่ว่าเล่มไหนๆ ต่างก็บอกไว้แค่นี้
ใช่ครับ มันเป็นทางเลือกหนึ่ง ตั้งแต่อ่านๆมาผมยังไม่เคยเห็นคนพูดถึงวิธีแบบผมเลย ผมก็ไม่เข้าใจ
ทำไมไม่ค่อยมีคนรู้ คนรู้ก็คงมีอยู่แหละน่า
 เพียงแต่ผมไม่เจอ (แต่ผมว่าผมก็ผ่านมาเยอะนะ)
แต่เดี๋ยวก่อนที่จะบอกวิธีผม คงจะมีคนสงสัย แล้ว
Over burn ไม่ดียังไง
แน่นอนครับ ผลเสียก็คือ โอกาสเจ๊งของแผ่นและDrive
ที่ใช้writeมีสูงครับ Driveอาจไม่เสียทันที
แต่ถ้าทำบ่อยๆก็จะโทรมลงเรื่อยๆครับ ดังนั้นทางทีดีควร
หลีกเลี่ยง เอาล่ะมาดูวิธีของผม
ใช้ Nero ทั่วๆไปนี่แหละ ไม่ต้องลงอะไรเพิ่มเติม
เปิด Options > Expert Features >
ไปติ๊กตรงนี้เลยครับ * Enable generation of short lead-out > OK
เสร็จแล้ว ง่ายจริงๆ แต่เวลาตอนเราจะไรท์ เราต้องใช้ Mode Disc-at-once นะครับแล้วเราก็จะ
สามารถไรท์เพิ่มได้อีก 12 mb โดยไม่ต้องOver burnให้เสี่ยง เพราะส่วนมากข้อมูลคงเกินมากัน
คนล่ะไม่เท่าไหร่    บางคนสงสัย แล้ว Disc-at-once เลือกยังไง ในหน้าที่เราจะเลือกความเร็วใน
การไรท์นะครับ ให้ติ๊กเอา* multisession disc ออกแล้วก็ไปเปลี่ยนตรง Write Method จาก
 Track-at-once เป็น Disc-at-once แล้วก็สั่ง write ได้เลยครับ
ข้อระวัง:
เนื่องจากเป็นการไรท์แบบDisc-at-once ดังนั้นแผ่นที่ไรท์แบบนี้จะไม่สามารถนำมาเขียนเพิ่มได้อีก
เพราะแผ่นจะโดนปิดsesstionทันที ก็คือต้องไรท์ให้เสร็จภาพในครั้งแรกและครั้งเดียวเท่านั้นข้อพึงระวังอีกนิดก็คือ Driveเก่าๆ บางรุ่นอาจอ่านแผ่นแบบนี้ไม่ได้ครับ แต่น้อยมากที่ผ่านมาผมใช้ได้หมด
แต่สุดท้ายหากข้อมูลเกินมาเยอะๆ แต่ต้องการลงแผ่นเดียวก็ไม่มีทางเลือก ต้องซื้อแผ่นแบบเกิน 700
มาOver burnเอาล่ะครับ ไม่แนะนำให้Over burnจากแผ่น700 ธรรมดา เพราะถึงแม้ว่าแผ่น Princo จะสามารถOver burn ได้ประมาณ 20 กว่า MB แต่เราก็จะต้องเสี่ยงกับการอ่านข้อมูลไม่ได้สูงมาก
และแผ่นแต่ล่ะยี่ห้อก็สามารถ Over burnได้มากน้อยต่างกันนะครับมันจะไม่ได้บอกไว้หรอก เราต้องใช้โปรแกรมทดสอบดูก่อน วันหลังผมจะมาสอนวิธีทดสอบว่าแต่ล่ะยี่ห้อแต่ล่ะแผ่น    สามารถ Over burnได้มากน้อยเท่าไหร่ครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
advance.exteen