วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

นักลงทุน 4 ประเภท

นักลงทุน 4 ประเภท
ตอนนี้ ผู้น้อย ‘มังกรในสระ’ จะกล่าวถึงจุดเริ่มต้นแห่งการสร้างแนวทางการลงทุนที่สอดคล้องกับจุดแข็งและจุดอ่อนสำหรับนักลงทุนแต่ละคนเลยทีเดียว ทว่าต้องขอย้ำอีกครั้งว่า จุดเริ่มต้นที่ว่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อนักลงทุนผู้นั้นตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดแล้วว่าจะเลิกลงทุนแบบจับจดเสียที และจะมุ่งมั่นแสวงหาแนวทางการลงทุนอันเป็นเลิศเฉพาะตนแทน
ขึ้นต้นว่าจะกล่าวถึงการสร้างแนวทางการลงทุนสำหรับนักลงทุนแต่ละคน ฟังดูโอ้อวดอยู่บ้าง เพราะนักลงทุนแต่ละคนต่างก็มีความเป็นปัจเจก มีความแตกต่างในหลากหลายด้านไม่ว่าจะเป็นอายุ เพศ การศึกษา สถานะทางเศรษฐกิจ ทัศนคติ อุปนิสัยใจคอ และอีกสารพัดจะกล่าว แต่ผู้น้อยย่อมพิจารณาดีแล้วจึงกล้ากล่าวเช่นนั้น เนื่องด้วยไม่ว่านักลงทุนแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันมากเพียงใด เนื้อแท้ของแต่ละคนย่อมประกอบด้วย 2 สิ่งร่วมกัน นั่นคือ ‘เงิน’ กับ ‘ความกล้า’ ขาด 2 สิ่งนี้ย่อมเป็นนักลงทุนไม่ได้ หรือ ขาดเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นนักลงทุนไม่ได้เช่นกัน หากมีเงิน แต่ขาดความกล้า ก็เป็นได้เพียงนักออมเงินเท่านั้น หากมีความกล้าแต่ขาดเงิน ก็เป็นได้เพียงนักออมเงินอีกเช่นกัน พร้อมเมื่อไร ค่อยลงทุน แต่ถ้าขาดทั้งเงิน ขาดทั้งความกล้า ก็คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากเป็นนักอุตสาหะ ขยันขันแข็งประกอบสัมมาอาชีพ แสวงหาความรู้และช่องทางในการเพิ่มพูนรายได้โดยสุจริต ดูผู้ที่สู้ชีวิตจนประสบความสำเร็จทั้งหลายเป็นแบบอย่าง พร้อมกับกันตนเองให้พ้นจากอบายมุข นั่นประไร! เผลอหน่อยเดียวเป็นนักเทศน์ไปเสียแล้ว
เข้าเรื่องต่อดีกว่า เมื่อผู้น้อยตัดรายละเอียดปลีกย่อยที่อยู่ในความเป็นปัจเจกของนักลงทุนแต่ละคนออกไปแล้ว ก็เหลือองค์ประกอบพื้นฐานเพียงสองส่วนด้วยกันดังได้กล่าวมาแล้วได้แก่ เงิน ซึ่งหมายถึง เงินออมที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้อย่างน้อยก็ในระยะ 1 ปี และ ความกล้า หมายถึง จิตใจที่พร้อมเผชิญความเสี่ยง หรือ ความสูญเสียที่อาจเกิดจากการลงทุน เมื่อทราบความหมายของทั้งสององค์ประกอบแล้ว คราวนี้ก็สามารถนำมาจัดประเภทนักลงทุนได้อย่างเหมาะสม ซึ่งผู้น้อยพิเคราะห์แล้วเห็นว่าย่อมไม่พ้นไปจาก 4 ประเภทดังต่อไปนี้ 1.ทุนมาก ชอบเสี่ยง 2.ทุนมาก ไม่ชอบเสี่ยง 3.ทุนน้อย ชอบเสี่ยง 4.ทุนน้อย ไม่ชอบเสี่ยง ขอขยายความสักเล็กน้อยว่า การแบ่งว่า ทุนมากหรือทุนน้อยนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่ปริมาณเงินที่สามารถนำไปลงทุนได้เป็นหลัก แต่ขึ้นอยู่กับระยะเวลา หรือ ความเย็นของเงินว่าจะสามารถคงอยู่กับการลงทุนได้นานเพียงใด ส่วนการแบ่งว่าชอบเสี่ยง หรือ ไม่ชอบเสี่ยงนั้นเป็นการแบ่งตามคุณสมบัติพื้นฐานทางด้านจิตใจ หรือ อัธยาศัยของแต่ละบุคคลนั่นเอง
เชิญนายท่านพิจารณารายละเอียดของความเป็นนักลงทุนในแต่ละประเภทดังต่อไปนี้
- ‘ทุนมาก ชอบเสี่ยง’ นักลงทุนประเภทนี้คือผู้ที่มีบ้านเป็นของตนเองโดยปราศจากภาระผ่อนชำระหรือติดจำนอง คือผู้ที่มีสินทรัพย์มากกว่าหนี้สินตั้งแต่ 2 เท่าขึ้นไป คือผู้ที่มีเงินออมที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในช่วงเวลาอย่างน้อย 10 ปี และคือผู้ที่มีรายได้มั่นคงและยั่งยืน ส่วนพื้นฐานจิตใจของนักลงทุนประเภทนี้ย่อมเข้ากันได้ดีกับความมีทุนมาก คือเป็นผู้ชอบเสี่ยง ปรารถนาผลตอบแทนจากการลงทุนที่เหนือกว่าความคาดหมายที่จะได้มาโดยใช้ระยะเวลาอันสั้น ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องรอข้อมูลรอบด้าน และคือผู้ที่มีความกระตือรือร้นที่จะแสวงหาโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ตลอดเวลา
- ‘ทุนมาก ไม่ชอบเสี่ยง’ นักลงทุนประเภทนี้มีคุณสมบัติในส่วนของทุนครบถ้วนเช่นเดียวกับนักลงทุนประเภทแรก แต่อัธยาศัยในการลงทุนย่อมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากนักลงทุนประเภทนี้ชอบความแน่นอนมากกว่าความเสี่ยง ปรารถนาผลตอบแทนจากการลงทุนที่อยู่ในความคาดหมายที่จะได้มาโดยใช้ระยะเวลาอันเหมาะสม ตัดสินใจอย่างรอบคอบรัดกุมโดยอาศัยข้อมูลรอบด้าน และกระตือรือร้นที่จะแสวงหาโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนเมื่อสภาวการณ์ต่างๆเอื้ออำนวย
- ‘ทุนน้อย ชอบเสี่ยง’ นักลงทุนประเภทนี้มีคุณสมบัติในส่วนของทุนไม่ครบถ้วนอย่างนักลงทุนประเทศที่หนึ่งและสอง โดยอาจจะขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ ไม่ขาดแต่ไม่สมบูรณ์เท่า เช่น มีบ้านเป็นของตนเองแต่ติดภาระผ่อนชำระ มีสินทรัพย์สูงไม่ถึง 2 เท่าของหนี้สิน มีเงินออมแต่จำเป็นต้องใช้ภายใน 10 ปี หรือ มีรายได้ที่มั่นคงแต่ไม่ยั่งยืน ขณะที่พื้นฐานทางด้านจิตใจของนักลงทุนประเภทนี้ไม่สอดคล้องกับความมีทุนน้อย เนื่องจากชอบเสี่ยง ปรารถนาผลตอบแทนจากการลงทุนที่เหนือกว่าความคาดหมายที่จะได้มาโดยใช้ระยะเวลาอันสั้น ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องรอข้อมูลรอบด้าน และมีความกระตือรือร้นที่จะแสวงหาโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ตลอดเวลา นักลงทุนประเภทที่สามนี้อาจมีความกล้าหาญพอที่จะกู้เงินเพื่อนำเงินไปเสี่ยงลงทุน ซึ่งก็มีทั้งประสบความสำเร็จและความล้มเหลว
- ‘ทุนน้อย ไม่ชอบเสี่ยง’ นักลงทุนประเภทนี้มีคุณสมบัติในส่วนของทุนเช่นเดียวกับนักลงทุนประเภทที่สาม ทว่ามีพื้นฐานทางด้านจิตใจแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากชอบความแน่นอนเป็นหลัก ปรารถนาผลตอบแทนจากการลงทุนที่อยู่ในความคาดหมายที่จะได้มาโดยใช้ระยะเวลาอันเหมาะสม ตัดสินใจอย่างรอบคอบรัดกุมโดยอาศัยข้อมูลรอบด้าน และกระตือรือร้นที่จะแสวงหาโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนเมื่อสภาวการณ์ต่างๆเอื้ออำนวย นักลงทุนประเภทนี้จะลงทุนเท่าที่ทุนของตนมี ไม่อาจหาญก่อหนี้เพื่อนำเงินไปลงทุนแสวงหาผลตอบแทนที่สูงเกินคาด
เป็นอันจบสำหรับลักษณะของนักลงทุน 4 ประเภท คราวนี้ก็มาถึงจุดเริ่มต้นแห่งการสร้างแนวทางการลงทุนที่สอดคล้องกับจุดแข็งและจุดอ่อน นั่นคือ การวิเคราะห์ตนเองว่า ฐานะทางเศรษฐกิจ พื้นฐานทางด้านจิตใจ ประสบการณ์และความชำนาญเฉพาะตน หรือ พรสวรรค์ที่มีอยู่ น่าจะสอดคล้องกับการเป็นนักลงทุนประเภทใดมากที่สุด ผู้น้อยขอยืนยันว่า นักลงทุนทั้ง 4 ประเภทนี้มีศักยภาพที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน อยู่ที่การตัดสินใจว่าจะเป็นนักลงทุนแบบใดที่จะเข้ากับอัธยาศัยของตนมากที่สุดเท่านั้น ตำราบางเล่มมุ่งที่จะให้นักลงทุนทุกคนเป็นประเภท ‘ทุนมาก ไม่ชอบเสี่ยง’ หรือ ‘ทุนน้อย ไม่ชอบเสี่ยง’ ทว่าผู้น้อยเห็นว่าจะเป็นนักลงทุนประเภทใดก็รวยได้ไม่แพ้กัน ขอเพียงพัฒนาทักษะการรุก รับ ถอยเฉพาะตนให้ชำนาญและสอดคล้องกับตัวตนของตนเองให้มากที่สุดเท่านั้นพอ เริ่มจะออกไปทางปรัชญาสักหน่อย ทว่าก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะนักลงทุนอย่างจอร์จ โซรอส หรือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ต่างก็มีแนวทางการลงทุนของตน ซึ่งก็ทำให้เป็นเศรษฐีระดับโลกได้เหมือนกัน
ส่วนจะรวยมากน้อยกว่ากันเพียงใดนั้นไม่สำคัญ เพราะถ้าเป็นเศรษฐีระดับที่ใช้เงินไม่หมดในชาตินี้ ผู้น้อยก็ถือว่ารวยเท่ากัน คนหนึ่งมุ่งแสวงหาผลตอบแทนจากการเก็งกำไรเมื่อโอกาสมาถึง ขณะที่อีกคนหนึ่งมุ่งแสวงหาผลตอบแทนจากปัจจัยพื้นฐานอันแข็งแกร่งที่คนส่วนใหญ่คลาดสายตา ทว่าผลลัพธ์ที่ออกมาคือ ‘รวยทั้งคู่’ และรวยในระดับที่ใช้เท่าไรก็ไม่หมด จึ่งเป็นดั่งสุภาษิตจีนที่ว่า ‘ไม่ว่าแมวสีใด จับหนูได้เหมือนกัน’ ซึ่งท่านประธาน ‘เติ้ง เสี่ยวผิง’ ผู้ล่วงลับเคยนำมากล่าวเมื่อครั้งนำระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมมาใช้ควบคู่กับระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ (นั่นแนะ!ไม่วายแถมความรู้ประวัติศาสตร์เข้าไปอีก) ดังนั้น ไม่ว่านายท่านจะเป็นนักลงทุนประเภทใด หรือ ตัดสินใจที่จะเป็นนักลงทุนประเภทใด ขอให้เป็นแมวที่จับหนูได้ก็พอ คือ เป็นนักลงทุนที่ประสบชัยชนะอย่างยั่งยืนในตลาดหุ้นไทยนั่นเอง

เมื่อทราบและแน่ใจแล้วว่า ตนเองเป็นนักลงทุนประเภทใด ตอนหน้า ผู้น้อยขอเชิญพบกับการพัฒนากลยุทธ์การลงทุนที่สอดคล้องกับนักลงทุนแต่ละประเภท วอนนายท่านติดตาม สวัสดี........

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เส้นทาง “ไหว้พระ 9 วัด” จังหวัดนครราชสีมา

วัดเทพพิทักษ์ปุณณราม – วัดถ้ำไตรรัตน์ – มูลนิธิสมเด็จพุฒจารย์ (โต พรหมรังสี)
 – วัดธรรมจักรเสมาราม – วัดบ้านไร่ – วัดป่าสาละวัน
– วัดพายัพ – วัดพระนารายณ์มหาราช – วัดศาลาลอย
1. วัดเทพพิทักษ์ปุณณาราม ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
ตั้งอยู่บริเวณเขาสีเสียดอ้า ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา แยกทางหลวงหมายเลข 2 (มาจากกรุงเทพฯ) หลักกิโลเมตรที่ 105 ไปตามทางลาดอีก 3 กม. เป็นวัดที่ประดิษฐาน “พระพุทธสกลสีมามงคล” ซึ่งเป็นชื่อที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ชาวบ้านทั่วไปมักเรียก “หลวงพ่อขาว” หรือ “หลวงพ่อใหญ่” ปัจจุบันมีพระครูพิทักษ์มัชฌิมา เป็นเจ้าอาวาส
หลวงพ่อขาว ตั้งเด่นตระหง่านอยู่บนยอดเขาสูงจากระดับพื้นดิน 112 เมตร มองเห็นได้จากถนนมิตรภาพสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก น้ำหนักรวมทั้งสิ้นประมาณ 3,000 ตัน มีขนาดหน้าตักกว้าง 27.5 เมตร สูง 45 เมตรหรือ 13 วา 2 ศอก 1 คืบ ทางขึ้นไปยังองค์พระพุทธรูปมีบันได 2 ทาง คือทางซ้ายและทางขวาขององค์พระพุทธรูป สร้างโค้งเว้าในบักษณะรูปใบโพธิ์ บันไดทั้งหมด 1,250 ขั้น หมายถึงจำนวนพระอรหันต์ไปชุมนุมกันโดยมิได้นัดหมายในวันมาฆะบูชา พระพุทธรูปประดิษฐานอยู่เหนือพื้นดิน 112 เมตร หรือ 56 หมายถึงพระพุทธคุณ 56 ประการ พระองค์สูง 45 เมตร หมายถึงพระพุทธองค์โปรดเนไวยสัตว์ 45 พรรษา หรือเรียกว่า ทรงทำพุทธกิจอยู่ 45 พรรษา หงัจากที่ตรัสรู้แล้ว
พุทธศาสนิกชน และประชาชนทั่วไป สามารถร่วมทำบุญตักบาตร ในช่วงเทศกาลว่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ได้
2. วัดถ้ำไตรรัตน์ ต.หนองน้ำแดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
ตั้งอยู่บริเวณถนนมิตรภาพ กม.ที่ 161 (ห่างจากฟาร์มโชคชัย 1 กม.) ภายในบริเวณวัด มีถ้ำศักดิ์สิทธิ์เรียกว่า “ถ้ำแก้วสารพัดนึก” (Magic Cave Land) ดินแดนมหัศจรรย์แห่งมนุษย์ถ้ำ 4,000 ปี ในอดีตเคยเป็นสถานที่พำนักของเกจิอาจารย์ดังหลายท่าน อาทิเช่น หลวงปู่ดุลย์ อตุโล, หลวงปู่โชติ คุณสัมปันโน, หลวงพ่อเพิ่ม บารมี โดยแบ่งเป็น 5 โซน คือโซนที่ 1 เรียกว่าถ้ำ “แก้วสารพัดนึก” โซนที่ 2 เรียกว่า “ถ้ำพระพุทธ” โซนที่ 3 ท่านจะได้พบกับ “โครงกระดูกพระฤาษี” โซนที่ 4 เดินทางผ่าน “ประตูมังกร” และโซนที่ 5 เป็น “พิพิธภัณฑ์หินและโรงภาพยนตร์ถ้ำ”
นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมและร่วมทำบุญ หากมาเป็นหมู่คณะ สามารถติดต่อล่วงหน้าได้ที่
โทร. 08 9445 6896, 08 9385 2616, 08 3369 5109
3. มูลนิธิสมเด็จพุฒจารย์ (โต พรหมรังสี) เมตตาบารมี อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา
ตั้งอยู่ริมถนนมิตรภาพ (ขาเข้า) ก่อสร้างโดยคุณสรพงศ์ ชาตรี ประธานกรรมการมูลนิธิ และประชาชนผู้มีจิต ศรัทธา ร่วมกันบริจาคทุนทรัพย์ก่อสร้างบนเนื้อที่ 120 ไร่ รูปเหมือนสมเด็จพุฒจารย์ (โต พรหมรังสี) นับว่าเป็นรูปหล่อที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดหน้าตักกว้าง 8 เมตร 1 นิ้ว สูง 13 เมตร หนัก 31 ตัน ขณะนี้ดำเนินการก่อสร้างยอดมณฑปครอบองค์หลวงพ่อ และได้จัดสร้างมหาวิหารเป็นแบบกุฎาคาร (เรือนยอดเจดีย์เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูป) และศาลาทานบารมี มีการจัดภูมิทัศน์ส่วนต่างๆ ตามความเหมาะสม เช่น สระน้ำ สวนหิน สวนต้นไม้ ที่สวยงามไว้รองรับ ที่นี่ยังมีโรงทานไว้สำหรับผู้มาทำบุญด้วย
นักท่องเที่ยวสามารถมากราบนมัสการหลวงพ่อโต ได้ตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น.
ติดต่อคุณสรพงศ์ ชาตรี และคุณดวงเดือน จิไธสงค์ โทร. 08 1911 0626
4. วัดธรรมจักรเสมาราม บ้านคลองขวาง ม.3 ต.เสมา อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา
อยู่ห่างจากตัว อ.สูงเนิน ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 5 กม. ณ วัดแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ หรือพระนอนหินทราย เป็นพระพุทธรูปสร้างขึ้นในสมัยทวาราวดี มีอายุประมาณ 1,200 ปี สร้างขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 13 โดยนำหินทรายขนาดใหญ่หลายๆ ก้อนมาประกบเข้าด้วยกัน มีความยาว 13.30 เมตร สูง 2.80 เมตร หันเศียรไปทางทิศใต้ พระพักตร์ค่อนข้างเหลี่ยม พระขนงสลักเป็รสันนูนรูปปีกกา พระเนตรเหลือบลงต่ำ พระนาสิกค่อนข้างกว้าง ทรงแย้มพระสรวล มุมพระโอษชี้ขึ้น ขมวดพระเกศาเป็นรูปก้นหอย ด้านหลังพระเศียรเป็นเพียงรอยสลักหินไว้อย่างคร่าวๆ ส่วนพระศอเป็นหินทรายก่อนหนึ่งเป็นรูปกลมหนา 36 ซม. เส้นผ่าศูนย์กลาง 90 ซม. ภายหลังการขุดแต่งได้พบพระศอเพิ่มขึ้นอีกชิ้นหนึ่ง ตกอยู่ด้านหน้าพระพักจร์ จึงได้นำมาต่อเป็นรูปเดิม พระหัตถ์ขวารองอยู่ใต้พระเศียร คลองจีวรห่มคลุมปลายพระบาทเสมอกัน พระพุทธองค์ประดิษฐานอยู่ในอาคารกิ่อิฐรูปสี่เหลี่ยมพืนผ้า
ภายในวัดยังมีพระธรรมจักรที่สร้างขึ้นด้วยศิลปะทวาราวดี ที่พบเป็นธรรมจักรแบบทึบ คือแกะสลักให้เป็นรูปซี่กงล้อเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.41 เมตร ตรงแกนกลางกว้าง 31 ซม. ตอนล่างของธรรมจักรมีลายสลักเป็นรูปหัวสิงห์ ซึ่งลายเช่นนี้ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะศรีวิชัย
นักท่องเที่ยวสามารถเข้านมัสการและร่วมทำบุญปีใหม่ ติดต่อที่ โทร. 08 9946 0146
5. วัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา
ถือเป็นวัดที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วไป ด้วยเป็นวัดที่มีสุดยิดเกจิอาจารย์แห่งยุคเป็นเจ้าอาวาส คือพระเทพวิทยาคม หรือ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ นอกจากจะเลื่องชื่อในพุทธคุณของท่านหลวงพ่อคูณแล้ว ยังมีโบสถ์ที่สวยงาม ทั้งในเรื่องของวัสดุ ลวดลายแกะสลัก และประโยชน์ต่อการใช้สอย ที่เป็นทั้งโบสถ์และศาลาการเปรียญในศาสนสถานเดียวกัน
นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามากราบนมัสการหลวงพ่อคูณ และร่วมทำบุญตักบาตรในช่วงปีใหม่ร่วมกับชาวบ้าน และรัพรหลวงพ่อคูณ ติดต่อได้ที่ โทร. 0 4425 3113, 08 6871 6764 (คุณบรรจบ ศิลปชัย)
6. วัดป่าสาละวัน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา
อยู่หลังสถานีรถไฟนครราชสีมา ใกล้ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดนครราชสีมา เป็นวัดเก่าแก่ และมีบูรพาจารย์เจดีย์ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และเป็นที่เก็บอัฐิของบูรพาจารย์ทั้ง 5 อันได้แก่ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต, หลวงปู่เสาร์, หลวงปู่สิงห์, พระอาจารย์พร และหลวงพ่อพุทธ ฐานิโย
วันที่ 6 – 8 กุมภาพันธ์ ของทุกปี จะมีการจัดงานปฏิบัติธรรมบำเพ็ญกุศลถวายหลวงพ่อพุทธ ฐานิโย เนื่องในโอกาสครบรอบวันเกิด ณ วัดวะภูแก้ว อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา สนใจรายละเอียดติดต่อ ดร. ดาราวรรณ โทร 08 1120 2554
วันที่ 14 – 16 พฤษภาคม ของทุกปี มีการจัดงานปฏิบัติธรรมบำเพ็ญกุศลถวายหลวงพ่อพุทธ ฐานิโย เนื่องในโอกาสครบรอบวันมรณภาพ สนใจรายละเอียดติดต่อ สำนักงานวัดป่าสาลวัน โทร. 0 4425 4402
วันที่ 30 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม ของทุกปี การจัดงานปฏิบัติธรรมบำเพ็ญกุศลถวายแด่พระบูรพาจารย์ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต, พระอาจารย์เสาร์, พระอาจารย์สิงห์, พระอาจารย์พร และหลวงพ่อพุทธ ฐานิโย ซึ่งมีพระสงฆ์จำนวนมากมาร่วมในงาน สนใจรายละเอียดติดต่อ สำนักงานวัดป่าสาลวัน โทร. 04425 4402
7. วัดพายัพ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา
เป็นวัดเก่าแก่แห่งหนึ่ง สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่บริเวณถนนชุมพล-พลแสน ก่อตั้งเมื่อง พ.ศ. 2200 ไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นผู้สร้าง ต่อมาเมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงสร้างเมืองนครราชสีมาเสร็จ จึงได้ทรงบูรณะวัดที่อยู่ในกำแพงเมืองนครราชสีมาที่มีอยู่ทั้ง 6 วัด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือวัดพายัพ ปัจจุบันวัดพายัพ นอกจากจะมีอาคารเสนาสนะและพระพุทธรูปปางต่างๆ มากมายแล้วนั้น ยังมีถ้ำจำลองไว้ภายในวัดอีกด้วย โดยนำหินงอก หินย้อย ซึ่งหักพังจากที่อื่นๆ มาประดับให้ใกล้เคียงกับถ้ำจริงได้อย่างงกงาม จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดนครราชสีมา มีพระราชวิมลโมลี เป็นเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน
8. วัดพระนารายณ์มหาราช ถ.จอมพล อ.เมือง จ.นครราชสีมา
เป็นวัดเก่าแก่แห่งหนึ่ง สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2199 เป็นวัดที่อยู่กลางเมือง จึงมีชื่อว่าวัดกลาง ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2487 ได้รับพระราชทานยกขึ้นเป็นพระอารามหลวง มีนามเต็มว่าวัดกลางวรวิหาร ต่อมาปี พ.ศ. 2491 วัดได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า วัดพระนารายณ์มหาราช วัดนี้เคยเป็นที่กระทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา และเคยเป็นที่ตั้งอนุสาวรีย์บรรจุอัฐิของท้าวสุรนารีย์ มีพระธรรมวรนายก เป็นเจ้าอาวาสและเป็นเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา
บริเวณใกล้เคียงวัด มีศาลพระนารายณ์ ภายในศาลมีเทวรูป 3 องค์คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพิฆเนศวร และเทวรูปอื่นๆ อีกหลายองค์ แต่ชาวเมืองเรียกว่า พระนารายณ์ พระนเรศ พระคเณศ เทวรูปทั้ง 3 องค์นี้ เป็นที่เคารพสักการะบูชาของชาวเมืองนครราชสีมา
9. วัดศาลาลอย ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา
เป็นวัดเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดนครราชสีมา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวเมือง มีทางเข้าจากถนนรอบเมืองเข้าไปประมาณ 500 เมตร อยู่ติดกับลำตะคอง ซึ่งไหลลงสู่แม่น้ำมูล ท้าวสุรนารีกับท่านปลัดสามสร้างขึ้นเมือปี พ.ศ. 2370 ปัจจุบันได้ปรับปรุงพระอุโบสถจนมีความงดงามแปลกตา เป็นลักษณะศิลปะประยุกต์ สร้างเป็นรูปสำเภาโต้คลื่น ใช้วัสดุพื้นเมืองคือใช้กระเบื้องดินเผาด่านเกวียน ด้านหน้าพระอุโบสถเป็นสระน้ำ มีศาลากลางสระน้ำ มีรูปปูนปั้นคุณหญิงโมนั่งพนมมือ สำหรับกำแพงแก้วเป็นรูปเสมา สัญลักษณ์ ของเมืองเสมาเดิม เป็นที่ประดิษฐานอัฐิของท้าวสรุนารี

วิธีทำบุญ ได้บุญ แบบไม่ต้องใช้เงิน

ขอเสนอแนะ ๙ วิธีทำดี ได้บุญ แบบไม่ต้องใช้เงิน เพื่อเป็นแนวทางให้ท่านได้สะสมกุศลให้เพิ่มพูนขึ้น ดังต่อไปนี้

๑. ตื่นเช้าขึ้นมาก็คิดแต่สิ่งดีๆ ทันทีที่ตื่นนอน หากเราคิดถึงแต่สิ่งที่ดีที่งาม ก็จะทำให้เราสดชื่นกระตือรือร้น พร้อมที่จะรับมือกับชีวิตประจำวันด้วยความรื่นเริง ไม่หงุดหงิด โมโห แค่นี้ นอกจากเราจะมีความสุขแล้วคนรอบข้างเราก็มีความสุขไปด้วย ถือว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง
๒. ยิ้มแย้มแจ่มใส ในแต่ละวัน หากเราจะรู้จักยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ว่าจะยิ้มกับคนรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม หน้าตาของเราก็จะดูเป็นมิตร ทำให้คนอยากเข้าใกล้
๓. ทักทาย โอปราศรัย คนบางคน นอกจากจะไม่ยิ้มกับใครแล้ว ยังชอบทำหน้าบึ้งตึงไม่คิดจะพูดจาทักทายใครด้วย ซึ่งถ้าเกิดทำงานด้านบริการ คนมาติดต่อคงรู้สึกเกร็งและกังวล ตลอดว่าจะถูกเอ็ดตะโรเมื่อไรก็ไม่รู้ ดังนั้น นอกจากยิ้มแย้มแจ่มใสแล้ว เราก็ควรจะเอื้อนเอ่ยวาจาทักทายผู้มารับบริการก่อน การทักทายปราศรัยกับผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นผู้มาขอรับบริการ เพื่อนฝูงคนรู้จัก จะทำให้เขารู้สึกเป็นมิตร และอบอุ่นใจ ทำให้บรรยากาศในที่นั้นๆ ดีขึ้น
>>อ่านต่อ<<