วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เบ็นเท็น (Ben 10) – เบ็นเท็น : พลังเอเลี่ยน (Ben 10: Alien Force)


เบ็นเท็น (Ben 10) เป็นการ์ตูนทีวีแอนิเมชันของประเทศสหรัฐอเมริกา ผลิตโดย Man of Action (เป็นทีมประกอบด้วย Duncan Rouleau, Joe Casey, Joe Kelly และ Steven T. Seagle) สังกัด Cartoon Network Studios เบ็นเท็น ออกอากาศทุกเช้าวันเสาร์ 10 นาฬิกาในประเทศสหรัฐอเมริกา และในประเทศไทยฉายวันจันทร์ถึงวันศุกร์ในช่วงทูนามิ เวลา 18:00 น. ในช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2549 และเปลี่ยนเป็นวันจันทร์ถึงพฤหัสเวลาเดิม (เหตุเพราะวันศุกร์มีการฉายศุกร์หรรษา) ในช่วงเดือนมกราคม พ.ศ. 2550 ทางช่องการ์ตูนเน็ทเวิร์ค ทรูวิชั่นส์ช่อง 29 สำหรับระบบอนาล็อก และช่อง 52 สำหรับระบบดิจิตอล ปัจจุบันได้ฉายจนจบเรื่องไปแล้ว แต่ก็มีการฉายซ้ำอยู่ในช่วงเวลาต่างๆ


เรื่องราวของเบ็นเท็น เริ่มจากตัวเอกของเรื่อง เบ็นจามิน “เบ็น” เท็นนีย์สัน ขณะกำลังหยุดฤดูร้อนกลางป่า เขาได้บังเอิญไปเจอกับดาวตก ซึ่งเมื่อเขาเข้าไปดูก็พบว่ามันเป็นกระสวยจากอวกาศที่ตกลงมาบนโลก ข้างในนั้นบรรจุออมนิทริกซ์ ซึ่งเป็นกำไลข้อมือที่จู่ๆก็กระโดดเข้ามาติดแขนของเขาแบบไม่ยอมปล่อย ซึ่งออมนิทริกซ์นั้นมีพลังให้เบ็นสามารถให้เบ็นเปลี่ยนร่างเป็นสิ่งมีชีวิตต่างดาวได้ถึง 10 แบบ (และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในอนาคต จนถึง 10,000 แบบ) ซึ่งแต่ละร่างจะมีลักษณะและพลังที่ต่างกันออกไป เบ็นได้ตัดสินใจใช้พลังที่เขาได้รับนี้ในการปกป้องผู้คนจากเหล่าร้ายมากหน้าหลายตา ตั้งแต่สัตวแพทย์สติเฟื่อง, จอมเวทย์ จนไปถึงผู้ควบคุมแมลง หรือเหล่ามนุษย์ต่างดาวในอวกาศที่มาวุ่นวายบนโลก ในขณะเดียวกันก็มีมนุษย์ต่างดาวนามวิวแก็กซ์วางแผนจะชิงออมนิทริกซ์เช่นกัน เบ็นจึงต้องปกป้องโลกทั้งจากวายร้ายบนโลกและวายร้ายจากนอกโลก


>> อ่านต่อ http://piriya.wordpress.com/2009/05/01/%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%87%E0%B8%99-ben-10-%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%87%E0%B8%99-%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87/

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ครม.ต่ออายุ 5 มาตรการบรรเทาค่าครองชีพ อีก 3 เดือน

เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบให้ขยายเวลาโครงการ 5 มาตรการเพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพให้แก่ประชาชน ที่จะสิ้นสุดโครงการในสิ้นเดือน ธ.ค.นี้ ออกไปอีก 3 เดือน หรือถึงสิ้นเดือน มี.ค.53 โดยได้มีการปรับปรุงรายละเอียดของมาตรการลดรายจ่ายค่าน้ำประปา
สาเหตุที่ ครม.อนุมัติให้ขยายเวลาโครงการออกไปแค่ 3 เดือน เนื่องจากต้องการให้มีการประเมินผลโครงการและค่าใช้จ่ายอีกครั้ง ก่อนที่จะพิจารณาว่าจะขยายเวลาโครงการออกไปอีกหรือไม่ ทั้งนี้ ในส่วนของมาตรการช่วยค่าน้ำประปานั้น ที่ประชุมได้ปรับลดจำนวนการใช้น้ำประปาฟรีเหลือ 20 หน่วย จากเดิม 30 หน่วย

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

4 ขั้นตอนเพื่อผิวสวย

ขั้นตอนที่ 1 เลิกสูบบุหรี่
คุณต้องเลือกระหว่างบุหรี่กับผิวสวย การสูบบุหรี่จะไปเร่งให้ผิวเหี่ยวเร็วขึ้น ซีดเซียว มีริ้วรอยรอบปากและดวงตา บุหรี่จะลดปริมาณออกซิเจนและสารอาหารของผิวและทำให้ร่างกายกำจัดของเสียออกไปได้ช้า และไปเพิ่มปริมาณอนุมูลอิสระที่เป็นตัวทำลายผิว เมื่อคุณอายุมากขึ้น ความแตกต่างระหว่างผิวของคนสูบบุหรี่กับคนไม่ได้สูบยิ่งเห็นชัด คราวหน้าที่คุณจะจุดบุหรี่สูบ ให้นึกถึงหน้าคนเหี่ยวๆเสียก่อนละกัน
ขั้นตอนที่ 2 ปกป้องผิวจากแสงแดด
คุณไม่สามารถหลบแดดได้ตลอดเวลา แต่ควรจะห่างๆเอาไว้บ้าง ถ้าคุณรู้จักปกป้องผิวตั้งแต่เนิ่นๆ ผิวคุณจะคงความชุ่มชื่นไปจนคุณอายุ 70-80 ปีเชียวนะคะ เอาอย่างดาราดัง พวกเธอไม่มีทางอาบแดดโดยไม่มีครีมป้องกัน ในวันหยุดให้คุณใส่หมวกและแว่นกันแดด และทาครีมกันแดดทุกวันเพื่อป้องกันริ้วรอย รังสียูวีเอจะทำลายไฟเบอร์และเนื้อเยื่อที่มีความยืดหยุ่นในผิวหนัง ซึ่งทำให้หลอดเลือดเปราะบาง ส่งผลให้ผิวหย่อยยานและเกิดริ้วรอย
ขั้นตอนที่ 3 รู้จักผิวของตัวเอง
สังเกตว่าผิวของคุณเป็นเช่นไร เช่น เมื่อไรที่จะมีผิวแห้ง ผิวจะมันบริเวณไหน และจะเป็นสิวเมื่อไร ลองดูว่าผิวมีลักษณะเด่นอะไรบ้าง คนผิวแห้งมักจะมีรูขุมขนเล็กกว่า เป็นไปได้ว่าผิวหนังลอกเป็นหย่อมๆและสีผิวจะเป็นโทนเดียวกันหมด ส่วนคนผิวมันอาจมีผิวซีด และเป็นสิวบ่อยๆ รูขุมขนอาจใหญ่กว่า ขยายกว้างและอุดตันได้ และใบหน้าดูเป็นประกาย ส่วนคนผิวผสม หน้าผาก จมูก และคางจะมัน ส่วนแก้มอาจจะแห้งหรือมีสภาพปกติ ส่วนคนผิวปกติจะมีสภาพสีผิวที่ดูมีสุขภาพดีและสมดุล รูขุมขนเล็ก
ขั้นตอนที่ 4 "ทำดี" กับผิว
ดื่มน้ำวันละหนึ่งขวดใหญ่ ออกกำลังแบบไหนก็ได้ที่ทำให้คุณเหงื่อออกซึ่งจะช่วยขับสารพิษและทำให้คุณมีผิวเปล่งปลั่งขึ้น นอนพักมากๆ ปกป้องใบหน้าจากแสงแดด นวดหน้าด้วยตัวเอง และแน่นอนว่าเลิกสูบบุหรี่ เท่านี้ผิวของคุณก็สวยขึ้นได้ นี่ยังไม่นับว่าหัวใจและปอดก็แข็งแรงขึ้นด้วย เท่ากับคุณได้กำไร ทีนี้ก็ใช้เงินที่ประหยัดได้จากการรักษาผิวหน้ามาซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจะดีกว่าค่ะ

ผิวมีปัญหา..จะแก้อย่างไร>>  http://www.pooyingnaka.com/story/story.php?Category=beauty&No=569

ไดโนเสาร์พันธุ์ต่าง ๆ



ชื่อรูป : ไทแรนโนซอรัส (Tyrannosaurus rex)

คำอธิบายรูป : หรือเรียกสั้น ๆ ว่าทีเร็กซ์ (Trex) แปลว่า กิ้งก่า ทรราชเป็นไดโนเสาร์ประเภทกินเนื้อเป็นอาหาร มีความยาวประมาณ 48 ฟุต สูงประมาณ 20 ฟุต ลักษณะเป็นแบบฉบับของไดโนเสาร์ หัวโต ตัวใหญ่ขาหน้าเล็กและสั้น มีกรงเล็บ แหลมคมยาวถึง 8 นิ้ว มีน้ำหนักถึง 7 ตันครึ่ง เจ้ากิ่งก่ามีชีวิตได้ด้วยการกินไดโนเสาร์ที่ อ่อนแอกว่าเป็นอาหาร เช่น ไดโนเสาร์ที่มีชื่อว่า แองคีลอซอรัส (Ankylosaurus) ฉายยายักษ์ สวมเกาะเป็นไดโนเสาร์ที่มีเกาะแข็งหุ้มตัวตัวยาวประมาณ 15 ฟุต สูงไม่เกิน 4-5 ฟุต ตัวอ้วน ขาใหญ่ เดินงุ่มง่ามหลบหลีกศัตรูได้ช้าเป็นอาหารโปรดของเจ้าทีเร็กซ์ ดังนั้นจึงได้อีก ฉายาหนึ่งว่า จอมเพชฌฆาต




ชื่อรูป : อัลโลซอรัส (Allosaurus)

คำอธิบายรูป : ตัวนี้หน้าตาคล้าย ๆ กับ ทีเร็กซ์ เป็นไดโนเสาร์กินเนื้อขนาด ใหญ่ที่สุดมีขนาดยาวกว่า 33 ฟุต (10 เมตร) ขาหน้าเล็กสั้น หัวโต เขี้ยวใหญ่ได้ฉายาว่า จอมพราน ชอบล่าไดโนเสาร์อื่นเป็นอาหารโดยเฉพาะ อะแพททอซอรัส (Aapatosaaurus) เป็นอาหาร ที่กล่าวเช่นนี้เพราะอะแพททอซอรัสที่ขุดพบนั้นมีรอยเขี้ยวของ อัลโลซอรัส เต็ม ไปหมด

>>อ่านต่อที่นี่เลย ://www.pantown.com/group.php?display=photoalbum/viewalbum&id=6695&folder=album1&area=1

เคล็ดลับจัดการเงินออม ช่วงอายุ 35 ถึง 55 ปี

ผมขอนำเรื่องเคล็ดลับการจัดการเงินออมที่ติดค้างไว้มาเล่าต่อนะครับ ท่านคงจำได้ว่าเราได้แบ่งคนออกเป็น 3 กลุ่มอายุ ดังนี้

1. ช่วงอายุเริ่มทำงานถึง 35 ปี

2. ช่วงอายุ 35 ถึง 55 ปี

3. ช่วงอายุ 55 ปีขึ้นไป

                         ในตอนก่อนหน้านี้ ผมได้ปูพื้นไว้ว่า ท่านผู้อ่านที่อยู่ในวัยเริ่มทำงานจนถึงอายุ 35 ปี โดยทั่วไปจะเป็นช่วงที่ท่านมีรายได้ไม่มากนัก มีค่าใช้จ่ายสูงเมื่อเทียบกับรายได้ ทำให้การออมค่อนข้างลำบาก แต่ผมได้แนะนำไปว่า นอกจากส่วนที่ท่านเก็บออมกับกองทุนประกันสังคมแล้ว หากท่านสามารถเจียดเงินมาออมเพิ่มเติมได้อีกสัก 10% ของรายได้ ก็จะช่วยได้มาก เช่น ท่านที่มีเงินเดือนๆ ละ 20,000 บาท หากออมได้สักเดือนละ 2,000 บาท โดยเริ่มออมเมื่ออายุ 30 ปี และได้ผลตอบแทน 5% ต่อปี ท่านจะมีเงินเก็บประมาณ 1.5 ล้านบาทเมื่อเกษียณ (ที่อายุ 60 ปี) และหากนำเงินก้อนดังกล่าวไปลงทุนแล้วทยอยนำเงินต้น และดอกผลมาใช้ทุกเดือน ท่านจะมีเงิน “บำนาญ” ให้กับตัวเองเดือนละ 10,662 บาท ซึ่งเป็นเงินบำนาญส่วนเพิ่มนอกเหนือจากที่ท่านจะได้รับจากกองทุนประกันสังคม
ผมได้แนะนำด้วยว่า สำหรับท่านที่อยู่ในวัยเริ่มทำงานถึงอายุ 35 ปี ท่านมีระยะเวลาการออมนาน และมีความสามารถรับความเสี่ยงได้มาก จึงควรแบ่งพอร์ตเงินออมเป็น 20% ซื้อหน่วยลงทุนกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตร และ 80% ซื้อหน่วยลงทุนกองทุนที่ลงทุนในหุ้น
คราวนี้เรามาพูดถึงคนที่อยู่ในวัย 35 ถึง 55 ปีบ้างนะครับ
รายได้ และค่าใช้จ่าย ช่วงอายุ 35 ถึง  55 ปี
               เมื่อเทียบกับวัยเริ่มทำงาน ท่านที่อยู่ในช่วงอายุ 35 ถึง  55 ปีจัดได้ว่าเป็นกลุ่มที่มีหน้าที่การงานมั่นคงมากขึ้น และมีรายได้มากขึ้น สำหรับท่านที่ครองตัวเป็นโสดจะพบว่า เมื่อเข้าวัยนี้ การจัดการเงินออมเริ่มง่ายขึ้นเพราะท่านมีรายได้มากขึ้นแต่ไม่มีภาระค่าใช้จ่ายมากนัก หากยังไม่มีบ้าน ท่านก็จะสามารถจะเริ่มผ่อนบ้านได้ในช่วงนี้เอง
                สำหรับท่านที่มีครอบครัว ถึงแม้ว่ารายได้โดยรวมของครอบครัวจะมากขึ้น เพราะมีคนสองคนช่วยกันทำงานหารายได้ แต่เมื่อมีบุตร ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการดูแลบุตรของท่านจะกลายเป็นรายจ่ายสำคัญของครอบครัว และเป็นรายจ่ายส่วนที่ต้องดูแลให้ดีครับ
เมื่อท่านเข้าสู่ช่วงปลายของวัยทำงาน คืออยู่ในช่วงอายุ 50ถึง  55 ปี รายได้จะยิ่งมากขึ้น ในขณะที่รายจ่ายมีสัดส่วนลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อบุตรของท่านจบการศึกษา และเริ่มทำงาน ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรก็หมดไป การออมยิ่งทำได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ดี การรอคอยไปเก็บออมตอนใกล้เกษียณอาจจะสายเกินไป การออม เพื่อเกษียณจำเป็นต้องเริ่มทำตั้งแต่เริ่มต้นวัยทำงาน เพื่อให้เรามีเวลามากพอในการทำให้เงินงอกเงยครับ
สำหรับการจัดการเงินออมในวัยนี้ ผมแนะนำให้ท่านมีบัญชีเงินออมไม่ต่ำกว่า 4 บัญชี แยกออกจากกัน โดยเรียงลำดับความสำคัญจากมากไปน้อยดังนี้ครับ

1. บัญชีเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน 3 ถึง  6 เท่าของเงินเดือน
ในช่วงที่ท่านยังเป็นโสด เรื่องบัญชีเงินสำรองนี้ก็สำคัญ แต่ยังไม่มากเท่าใด แต่เมื่อมีครอบครัวแล้ว การมีบัญชีเงินสำรองไม่ต่ำกว่า 3 ถึง  6 เท่าของเงินเดือนเป็นเรื่องสำคัญมากครับ
                      สาเหตุที่เราต้องมีบัญชีเงินสำรองก็เพราะว่า ในบางครั้งเราอาจจะมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงิน ถึงแม้ว่าท่านผู้อ่านที่เป็นผู้ประกันตนจะได้รับความคุ้มครองจากกองทุนประกันสังคมในทุกจังหวะชีวิตที่เดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นการได้รับความคุ้มครองกรณี เจ็บป่วย คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร หรือว่างงาน เป็นต้น ทำให้ไม่ต้องมีภาระทางการเงิน หรือช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงินไปได้บ้าง แต่ในชีวิตคนเรามักจะมีเหตุจำเป็นที่ต้องใช้เงินอยู่บ้าง เช่น ค่าเบี้ยประกันรถยนต์ ค่าซ่อมรถ ค่าซ่อมบ้าน ฯลฯ เราจึงควรมีเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ผมขอแนะนำว่าให้เปิดบัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงินออม แยกต่างหากอีก 1 บัญชี และ หยอดกระปุก สะสมไว้เป็นเงินสำรอง การมีเงินสำรองนี้ช่วยให้เรามีเงินรองรับค่าใช้จ่ายพิเศษต่างๆ ได้โดยที่ไม่ต้องกู้ยืมเงินใครมาใช้ และไม่ทำให้ครอบครัวต้องเดือดร้อนด้วยครับ
จำนวนเงินในบัญชีสำรองนี้จะมีมากน้อยขึ้นอยู่กับความมั่นคงทางการเงิน ท่านที่มีหน้าที่การงานมั่นคง (เช่น รับราชการ หรือเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ) อาจจะสำรองไว้ประมาณ 2-3 เท่าของเงินเดือน ส่วนท่านที่ทำงานเอกชน หรือคาดว่ามีแนวโน้มอาจจะต้องเปลี่ยนงานในอนาคต และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านที่มีภาระการผ่อนบ้านหรือผ่อนรถ ควรจะสำรองไว้ประมาณ 3 – 6 เท่าของเงินเดือน เพื่อให้มั่นใจว่าในช่วงที่ไม่ได้ทำงาน จะยังมีความสามารถในการผ่อนชำระได้อย่างต่อเนื่องครับ

2. บัญชีเงินออม เพื่อการศึกษาของบุตร
ตามที่ผมกล่าวไปแล้วว่า ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการดูแลบุตรนั้นเป็นรายจ่ายสำคัญของครอบครัว และท่านจำเป็นต้องดูแลรายจ่ายส่วนนี้ให้ดี นอกจากการมีบัญชีเงินสำรองแล้ว ท่านจึงควรมีอีกบัญชีหนึ่งที่เตรียมออมเงินไว้ เพื่อการศึกษาของบุตร เพื่อให้มั่นใจว่า ในช่วงที่ท่านอาจจะต้องออกจากงานหรือขาดรายได้ไปชั่วคราว ท่านจะยังสามารถดูแลค่าใช้จ่ายการศึกษาของบุตรได้อย่างต่อเนื่อง
                 สำหรับจำนวนเงินออมในบัญชีนั้น ท่านอาจจะต้องประเมินไว้ล่วงหน้าว่า ในแต่ละปี ท่านจะมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรเท่าใด ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไม่ได้มีแค่ค่าเทอมเท่านั้น ยังมีเรื่องเครื่องแต่งกาย ค่าตำราเรียน และอุปกรณ์การเรียน ค่าขนม และในบางกรณีที่ต้องย้ายไปเรียนไกลบ้าน อาจจะต้องเตรียมค่าเช่าหอพักด้วย
(อ่านต่อฉบับพรุ่งนี้)