แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ น่าคิด แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ น่าคิด แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สมุนไพรอันตราย 13 ชนิดที่มีต่อชีวิตการทำงาน

1 ขิง / ข่า  
ขิง(ก็รา) ข่า(ก็แรง) เป็นอันตรายต่อชีวิตการทำงานอย่างยิ่ง บางครั้งเป็นการกระทบกระทั่งด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เมื่อไม่ยอมกันคนละก้าว ก็เสียทั้งงานและภาพพจน์ขององค์กร
ทางแก้ : การทำงานในสำนักงานไม่ว่าองค์กรราชการหรือเอกชนเป็นการรวมคนจากที่ต่างๆ เข้าด้วยกัน จึงเป็นเรื่องปกติที่มีการกระทบกระทั่งกันระหว่างเพื่อนร่วมงาน รู้จักยอมกันบ้าง ทำนอง 'แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร' นอกจากจะได้ไม่เสียสุขภาพจิตแล้ว ยังได้ประสิทธิภาพของงานสูง 
2 ขมิ้น (กับปูน) 
ไม่ชอบเพื่อน ไม่ชอบเจ้านาย ไม่ชอบหน้าลูกค้า ไม่ชอบงานที่ทำ ไม่ชอบทุกอย่างในชีวิต!
ทางแก้ : ปรับเปลี่ยนทัศนคติมองผู้อื่นในด้านดี หรืออย่างน้อยก็ตามความเป็นจริง มองลูกค้าว่าเป็นผู้ที่ทำให้เราเลี้ยงครอบครัวได้ เพราะการทำงานโดยมีทัศนคติไม่ดียากจะก้าวหน้า และที่แย่ที่สุดคือผ่านชีวิตทำงานแต่ละวันอย่างทรมาน 
3 มะนาว (ไม่มีน้ำ) 
พูดไม่ดี พูดมากไป พูดไม่ไพเราะ พูดแต่เรื่องร้ายๆ เหล่านี้เป็นอันตรายต่อองค์กรอย่างยิ่ง นอกจากจะขัดใจกันในองค์กรแล้ว ยังอาจทำให้ลูกค้าหนีหายก็ได้
ทางแก้ : พูดน้อยหน่อย ทำงานมากหน่อย มองด้านดีของคนอื่นบ้าง 
4 จิก 
เจ้านายประเภทที่ใช้คนไม่เลือกเวลา ชอบบรี๊ฟงานห้านาทีก่อนเลิกงาน โทร.ตามจิกลูกน้องห้านาทีก่อนเที่ยงคืนและในวันหยุดเป็นประจำ
ทางแก้ : การทำงานที่ดีอยู่ที่การวางแผน และรักษาสมดุลของงานกับครอบครัว ลูกน้องที่พักผ่อนพอเพียงและมีชีวิตครอบครัวที่ดี ย่อมทำงานได้ประสิทธิภาพกว่าคนที่ทำงานใต้สภาวะของการจิก การทำงานชั่วโมงยาวนานมิได้หมายถึงประสิทธิภาพและคุณภาพเสมอไป 
5 ว่านหางจระเข้ (ฟาดหาง) 
เจอเรื่องไม่ดีที่บ้านก็นำมาฟาดหาง (จระเข้) กับเพื่อนหรือลูกน้อง หรือทั้งเพื่อนและลูกน้อง
ทางแก้ : แยกแยะงานกับเรื่องส่วนตัว งานส่วนงาน ไม่นำเรื่องส่วนตัวมาปนกับงาน เพราะทุกคนก็ประสบเรื่องไม่ดีทั้งนั้น แก้ปัญหาเรื่องส่วนตัวโดยวิธีการอื่น เช่นปรึกษาเพื่อนฝูง เป็นต้น 
6 (เย็น)ชา 
เย็นชากับลูกค้า ลูกค้าหลุดได้ เย็นชากับลูกน้อง ลูกน้องก็หนี เย็นชากับเจ้านาย ก็อาจตกงาน!
ทางแก้ : รักษาน้ำใจเพื่อนๆ ในที่ทำงาน จะทำให้หลายสิบชั่วโมงต่อสัปดาห์ในที่ทำงานเป็นสวรรค์ ไม่ใช่นรก 
7 สีเสียด
ใช้วาจาเสียดสี เหยียดหยาม กระแทกกระทั้นคนรอบตัวเพื่อความสะใจ ต่อหน้าลูกค้าเอ่ย "ครับๆ ค่ะๆ" ลับหลังลูกค้าด่าว่าโง่ ฯลฯ
ทางแก้ : การใช้คำพูดในเชิงลบไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น ตรงกันข้ามจะทำให้ผู้พูดลดคุณค่าและความน่าเชื่อถือลง ลองมองด้านดีของคนอื่นบ้าง 
8 กระทืบยอด 
เป็นยอดในการย่ำคนอื่น เป็นเยี่ยมในการไต่ขึ้นที่สูงโดยเหยียบหัวเพื่อนร่วมงาน ฯลฯ
ทางแก้ : ไต่ขึ้นที่สูงไปตามพัฒนาการของตนเอง จะเป็นฐานที่แข็งแรงที่สุด 
9 มะขวิด 
ไล่ขวิดคนไปทั่ว ยุ่งเรื่องชาวบ้านโดยไม่ทำงานของตัวเอง 
ทางแก้ : กลับไปทำงาน! เพราะเวลาวัดผลงานในตอนท้าย ไม่ได้วัดกันที่ความคมของเขี้ยว เขา หรืองา 
10 ยอ 
ยกยอเจ้านายตลอดเวลา เสนอหน้าหลังเวลางาน
ทางแก้ : ความก้าวหน้าจากการประจบเอาใจผู้ใหญ่ไม่ใช่รากฐานที่มั่นคงของชีวิตการทำงานในระยะยาว 
11 แมงลัก 
ขโมยไอเดียของคนอื่น แล้วยกว่าเป็นของตัวเอง
ทางแก้ : พัฒนาตนเองตลอดเวลา เรียนรู้จากความคิดของผู้อื่น แล้วนำไปแตกหน่อต่อยอด เป็นการเพิ่มคุณค่าให้ตัวเอง 
12 รางจืด 
ใช้ชีวิตทำงานแบบจืดสนิท ทำงานแบบกางตำรา ไม่เริ่มงานเด็ดขาดแม้เข็มนาฬิกาอยู่ก่อนเวลาเริ่มงาน 1.025 วินาที พนักงานไม่เคยไปสังสรรค์ด้วยกัน ฯลฯ
ทางแก้ : เปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตทำงานบ้าง แล้วอาจพบว่า การทำงานก็เป็นเรื่องสนุกได้ 
13 กระบือเจ็ดตัว 
พอใจในความรู้ความสามารถที่ตนมีอยู่ไม่ว่ามันจะจำกัดเพียงใด ไม่ยอมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
ทางแก้ : ความรู้หรือเทคโนโลยีที่เรียนมาเมื่อ 10-20 ปีก่อนอาจแก้ปัญหารูปแบบใหม่ๆ ในปัจจุบันไม่ได้ โลกเปลี่ยนไปนาทีต่อนาที คนทำงานต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้ทัน ต้องศึกษาเพิ่ม อาจเป็นการเรียนวิชาที่เพิ่งเกิดใหม่ สัมมนาทางวิชาการ ศึกษาภาคค่ำ แทนที่จะหาประสบการณ์จากการกินเหล้าและเข้าผับอย่างเดียว

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

บันทึกช่วยจำของ " เหลียงจี้จาง "

ลูกรัก..ที่พ่อเขียนบันทึกช่วยจำฉบับนี้ให้ลูก มีเหตุผลอยู่ 3 ประการ คือ

1. สรรพสิ่งล้วนอนิจัง จะมีชิวิตอยู่ได้อีกนานเท่าใดไม่มีใครบอกได้ พ่อจึงคิดว่า
บางเรื่องพ่อน่าจะสั่งเสียไว้แต่เนิ่นๆ ย่อมจะดีกว่า
2. เพราะพ่อเป็นพ่อของลูก ถ้าพ่อไม่บอกลูก ไม่มีใครหรอกที่เขาจะบอกลูกแบบที่พ่อบอก
3. สิ่งที่พ่อบันทึกไว้นี้ ล้วนเป็นประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดที่พ่อได้เรียนรู้มา
 มันจะทำให้ลูกไม่ต้องเสียเวลาไปเรียนรู้มันอีก
ในชีวิตของลูก ขอให้จำสิ่งต่างๆเหล่านี้ไว้ให้ดี
1. คนที่ไม่ดีต่อเรา ไม่ต้องไปใส่ใจนัก ในชีวิตคนเรา ไม่มีใครมีหน้าที่ที่จะต้องมาดีต่อเรา
ยกเว้นพ่อกับ แม่ของลูก สำหรับคนที่ดีกับลูก นอกจากลูกต้องหวงแหนและขอบคุณเขาแล้ว
ยังต้องคอยระวังตัวไว้ด้วย เพราะคนเราทุกคน ทำอะไรย่อมมีจุดประสงค์ เขาทำดีกับลูก
ใช่ว่าเขาจะทำเพราะชอบลูกเสมอไป ลูกต้องตระหนักจุดนี้ให้ดี อย่าเพิ่งรับเขาเป็นเพื่อนเร็ว
เกินไป (น่ากลัวไหม)
2.ไม่มีคนที่ทดแทนกันไม่ได้ และไม่มีสิ่งใดที่ต้องมีให้ได้ ถ้าเข้าใจจุดนี้ หากวันใด
คนข้างกายของลูกไม่ต้องการลูกอีกต่อไป หรือวันใดที่ลูกต้องเสียสิ่งที่รักที่สุดไป
ลูกจะได้เข้าใจ ว่านี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรเลย
3. ชีวิตนี้แสนสั้น (จะอยู่แค่ไม่เกิน 100 ปีเอง) หากลูกยังใช้ชีวิตอย่างไม่เห็นคุณค่า
พรุ่งนี้ลูกจะพบว่าชีวิตจะ หลุดลอยไปไกลยิ่งขึ้น ดังนั้น ยิ่งรู้จักถนอมชีวิตเร็วเท่าใด
เวลาที่ลูกจะได้รับความสุขจากชีวิตก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น หาความสุขเสียแต่วันนี้
ดีกว่านั่งหวังให้มีอายุยืนนาน
4. ในโลกนี้ไม่มีเรื่องรักนิรันด์กาล ความรักเป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบ โดยความรู้สึกนี้
ย่อมเปลี่ยนไปตาม กาลเวลาและอารมณ์ หากสิ่งที่ลูกรักมากที่สุดจากลูกไป ขอให้รอคอย
อย่างอดทน ให้เวลาช่วยชะล้าง ให้จิตใจค่อยๆ ตกตะกอน แล้วความทุกข์ของลูกจะค่อยๆ
จางหายไป.. อย่าวาดหวังความรักให้สวยเกินไป และอย่าซ้ำเติมการอกหักให้ทุกข์เกินเหตุ
5. แม้ว่าคนหลายคนที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้ไม่ได้เรียนมาสูง แต่ไม่ได้หมายความว่า
หากไม่ขยัน เรียน แล้วจะได้ดี ความรู้คืออาวุธ คนเราอาจสู้แล้วรวย แต่ไม่มีทางรวยได้
หากปราศจากอาวุธสู้.. จำไว้
6. พ่อจะไม่ขอให้ลูกเลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของพ่อ เพราะพ่อก็จะไม่เลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของลูก
เช่นกัน เมื่อ ลูกโตพอจนเป็นอิสระได้แล้ว พ่อก็หมดหน้าที่แล้วเช่นกัน หลังจากนั้นไป
ลูกจะนั่งรถเมล์หรือจะนั่งรถเบ๊นซ์ จะกินหูฉลามหรือจะกินบะหมี่ยำๆ ลูกต้องเลือกเอง
7. ต้องทำดีต่อผู้อื่น แต่อย่าหวังว่าผู้อื่นต้องทำดีต่อเรา เราปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร มิได้หมายความว่าผู้อื่น ก็จะปฏิบัติตอบต่อเราในแบบเดียวกัน.. ลูกต้องเข้าใจในข้อนี้ จะได้ไม่หาทุกข์ใส่ตัวโดยไม่จำเป็น
8. พ่อซื้อล๊อตเตอรี่มาตลอดชีวิต ยังยากจนเหมือนเดิม แม้แต่รางวัลเลขท้ายยังไม่เคยถูกเลย
นี่เป็นบท พิสูจน์ว่า คนเราจะเจริญก้าวหน้าได้ ต้องขยันขันแข็งอย่างเดียวเท่านั้น ในโลกนี้
ไม่มีมื้อเที่ยงที่ไม่ต้อง เสียตังค์ (No free lunch)
9. ญาติ มิตร หรือสหาย ล้วนเป็นกันชาตินี้ชาติเดียว ฉะนั้น จงหวงแหนโอกาสที่ได้อยู่ด้วยกัน
เพราะในชาติหน้า ไม่ว่าท่านจะรักใครหรือชังใคร ท่านก็จะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก
(หมายเหตุ ถึงพบกันก็จะไม่รู้จักกันเพราะจำอดีตชาติไม่ได้ )

วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553

เมื่อลืมแก้บน

เมื่อวันวิสาขบูชาที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๓๓ หลวงพ่อได้เตือนผู้ที่เคยบนไว้ แต่ลืมแก้บนและจำไม่ได้ว่าบนอะไรไว้บ้าง ให้จัดของแก้บนดังนี้

๑. บายศรีปากชาม ๗ ชั้น
๒. ข้าวปากหม้อ
๓. ไก่ต้ม ๑ ตัว
๔. หัวหมู ๑ หัว
ท่านให้ปูผ้าขาวตั้งเครื่องสังเวยเหล่านี้บนโต๊ะกลางแจ้ง จุดธูปเทียนอธิษฐาน ขอให้ท่านผู้มีพระคุณได้โปรดรับเครื่องสังเวยที่ข้าพเจ้าได้เคยบนไว้ และขอให้อดโทษแก่ข้าพเจ้าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเถิด

วิธีทำให้บ้านเป็นสวรรค์

วิธีทำบ้านให้เป็นสวรรค์ ๑๐ ประการ มีวิธีปฏิบัติแบบเป็นสูตรสำเร็จ ดังนี้ :-

โดย...นักบวชปาซาน
วัดพระมหาชนก เมืองกริฟฟิน รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
๑.ทานมัย รู้จักการให้
การให้ ต้องให้ ให้เป็น การให้ที่ถูกต้อง ต้องเป็นการให้ที่ให้ด้วยความรู้สึกที่เต็มใจ
พอใจ บริสุทธิ์ใจอย่างเต็มที่ มีความรู้สึกดีใจที่ได้ให้ ได้ทำ หวังให้เขามีความสุข
โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆทั้งสิ้น ขอให้เขาสุขใจ มีรอยยิ้มก็พอ
ขอยกตัวอย่าง เรื่องการให้ที่เรามักทำกันอยู่เป็นประจำ เช่น การทำอาหาร
การกวาดบ้าน การซักเสื้อผ้า การขับรถ การพูดคุย ทุกอย่างที่ทำไปนั้น
ล้วนอยู่ในขบวนการ ของการให้ทั้งหมดทั้งสิ้น
แต่ในนิยามของคำว่า "ให้" มีข้อแม้อยู่ว่า ต้องใส่ความรู้สึกที่ดีลงไปด้วย
ไม่ใช่สักแต่ว่าให้ สักแต่ว่าทำแต่อย่างเดียว
ยกตัวอย่างเช่น การชงกาแฟให้ใครสักคน ขณะที่ชง ก็ต้องคิดในใจไปด้วยว่า
ขอให้คนที่จะดื่มกาแฟถ้วยนี้ ขอให้เขาจงมีแต่ความสุข ความสำเร็จ
ความสมหวังทุกภพทุกชาติตลอดไป หรือจะคิดจะว่าอะไรก็ได้
ขอให้เป็นคำที่เป็นมงคลก็ว่าได้หมด
ภาษาพระ ท่านเรียกว่าการอธิษฐาน คือ ตั้งใจให้เป็นบุญ
ทุกครั้งที่ทำอะไรลงไป ที่เป็นไปเพื่อผู้อื่น เพื่อส่วนรวม เพื่อครอบครัว
ต้องใส่ความคิดแบบนี้ไปด้วยทุกครั้ง นั้นจึงจะครบสูตรของการให้
การกระทำที่ดีที่เป็นบุญ
การกวาดบ้าน การถูบ้าน ล้างจาน ล้างห้องน้ำ ก็ต้องใส่ความรู้สึกที่ดีๆลงไปด้วยทุกครั้ง
ถ้าไม่ได้ใส่ความคิดที่ดีลงไป ก็จะเข้าสูตรที่ว่า สักแต่ว่าทำ จะไม่เกิดบุญ
เกิดพลังที่จะดลบันดาลให้บ้านเป็นสวรรค์ได้
๒.ศีลมัย ประพฤติตนเป็นคนดีอย่างแท้จริง
คนดี ก็ คือ คนที่มีความประพฤติที่ไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อน ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน
เป็นคนมีความรับผิด มีระเบียบวินัยในเรื่องการใช้จ่ายเงิน การใช้สิ่งของ
มีความสะอาดที่เป็นหนึ่งเป็นเลิศ
เคารพในสัจจะสัญญา ทำหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบให้เสร็จสมบูรณ์ ถูกต้อง
และอย่างเต็มใจ เคารพต่อกฏกติกา ที่ได้วางไว้ กำหนดไว้แล้วอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
เวลาจะทำอะไรลงไป ถือว่าเป็นการฝึกตัวเองไปในตัว จะไม่ทำให้เราเสียนิสัย
จะไม่ทำอะไรที่จะให้เป็นปัญหา เกิดปัญหาตามมา เกิดความเสียหาย
เกิดบาปเกิดกรรมตามมา เป็นต้น
คนดีในบ้าน คือ คนที่ทำหน้าที่ของตนอย่างสมบูรณ์
ทำหน้าที่ในครอบครัวอย่างสมบูรณ์ ไม่เบียดเบียนตน
และคนในครอบครัวให้ได้รับความเดือดร้อน
๓. ภาวนามัย มีจิตคิดแต่ในเรื่องที่ดี ที่เป็นบุญต่อกัน
ความคิดของคนเรานั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับชีวิตมากทีเดียว
ความสุข และความทุกข์ มันก็มีที่เกิด ที่เพาะเชื้อของมันตรงจุดนี้
ใจดีก็มีสุข ใจทุกข์ก็สุขไม่มี
คนเราหากว่าใจเกิดเสียอย่างเดียว ทุกอย่างก็จะเสียหมด
ทุกอย่างก็จะหมดความหมาย อาหารที่เคยชอบ เคยกินแล้วอร่อย ก็จะไม่อร่อย
เพลงที่เคยฟังแล้วไพเราะ ก็จะหมดความไพเราะ ฟังแบบไม่มีความสุข
แบบไม่มีชีวิตชีวา อะไรที่เคยว่าดีว่างาม ก็จะหมดความดีความงามไปเสียหมด
เพราะฉะนั้น ต้องระวังเรื่องความคิดนี้ให้ดี อย่าให้เกิดอาการเสียดุล
เสียคุณภาพเป็นเด็ดขาด เวลาจะคิดถึงใคร คนใดคนหนึ่งก็ตาม
โดยเฉพาะกับบุคคลในบ้าน ก็ต้องคิดให้เป็น คิดให้ถูก
เวลาคิดก็จะไม่คิดว่าเราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา หรือเขาดีกว่าเรา เขาเลวกว่าเรา
จะต้องไม่คิดแบบนั้น จะไม่เป็นคนที่คิดมากเกินความจริง
เรื่องบางเรื่องทั้งที่ยังไม่เป็นจริง ก็คิดว่ามันจะต้องเป็นจริง ต้องไม่คิดหวาดระแวงจนตัวเองหมดสุข เป็นเหตุให้คนในบ้าน
หมดความสุขไปด้วย
อะไรที่ยังไม่เกิด ก็อย่าเพิ่งคิดถึงมันจนเป็นทุกข์ เห็นบ้านอื่นเขาเป็น
คนอื่นเขาเป็น ก็มาคิดว่าคนในบ้านของเราก็เป็นเหมือนเขา
จะต้องไม่คิดเรื่องเล็ก ให้เป็นเรื่องใหญ่ จะต้องไม่เบิกความทุกข์มาใช้ก่อน
การคิดถึงคนในครอบครัว ก็ต้องเป็นความคิด ที่มีความรัก ความเมตตา
ความบริสุทธิ์ใจเป็นพื้นฐาน ไม่คิดแบบจับผิด ไม่คิดแบบตำหนิในใจ
ไม่คิดแบบหวาดระแวง ต้องคิดให้เป็นบุญต่อกัน
บ้านที่ไม่เป็นบ้าน ครอบครัวที่ไม่เป็นครอบครัว ก็มาจากเจ้าตัวนี้
เก็บความคิดที่ไม่ดีไว้ทุกๆวัน พอมันมากขึ้น ก็กลายเป็นปืน เป็นมีด
เป็นคุก เป็นตาราง เป็นน้ำตาขึ้นมาในที่สุด
เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ เริ่มปรับที่ตัวเรา โดยบอกตัวเองว่า
เรามันก็ไม่ดีเท่าไรเหมือนกัน เราก็เคยผิดเคยพลาดมาเหมือนกัน
ต้องปรับต้องแก้ จะให้คนในบ้านถูกใจเราหมด เป็นไปไม่ได้
๔.อปจายนมัย เชื่อฟังกัน เคารพนับถือกัน
การยอมฟังกันบ้าง ถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่ง
ที่จะเป็นเหตุให้อะไรต่างๆดีขึ้น แก้ไขได้ง่ายขึ้น หากไม่ฟังกันทุกอย่างก็จบ
เช่น พ่อแม่ว่าอะไร บอกอะไร ก็ควรเอาใจใส่ บ้าง สนใจบ้าง ใครเตือนอะไรก็ฟัง
ก็ทำตามบ้าง น้องเคารพพี่ พี่ให้เกียรติน้อง ภรรยาเคารพสามี สามีให้เกียรติภรรยา
ต้องรู้จักการให้เกียรติซึ่งกันและกัน สวรรค์ก็จะเกิดขึ้นมาได้
ไม่ใช่จะเอาแต่ตัวเองถูกคนเดียว แบบนั้นก็แย่
คำเตือน คือขุมทรัพย์ เราอาจกำลังหลงอยู่ อาจจะมองไม่เห็นว่าอะไรผิดอะไรถูก
เมื่อมีคนบอกก็ต้องหยุด ต้องเลิกให้ได้ ถ้าเมื่อไรไม่ฟังกัน ไม่เคารพกัน
ประตูสวรรค์ก็ปิดลงทันที ประตูนรกก็เปิดรอรับเรา
๕.เวจยาวัจจมัย ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งและกัน
ในยามที่มีธุระ มีความจำเป็น
พระอาจารย์ชยสาโร ลูกศิษย์หลวงพ่อชา ท่านเทศน์ไว้ประโยคหนึ่งว่า
คนเรานั้น อย่าเป็นคนที่เอาหูไปนา เอาตาไปห้างฯ
ท่านสอนไว้ว่า หากใครมีธุระอะไร ก็ควรเสียสละเวลา ช่วยเขาบ้าง อย่าเมินเฉย
มีกิจธุระอะไรพอช่วยได้ก็ช่วยกันไป ท่านสอนไว้อย่างนั้น
เรื่องการช่วยกันนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับชีวิตครอบครัวมาก จะปล่อยให้แต่เพียง
คนเดียวรับผิดชอบคนเดียวไม่ได้ อะไรที่เราสามารถพอช่วยเขาได้ ก็ต้องช่วยกัน
อย่าสรุปว่า วันนี้ฉันทำงานทั้งวันแล้ว คุณทำคนเดียวเถอะ คิดแบบนั้นไม่ได้
ต้องรู้จักการแสดงออกซึ่งน้ำใจบ้าง ถ้าเขาเข้าใจเรา เขาก็จะบอกเองว่าไปพักเถอะ ฉันทำเอง
ลูกหลานพอที่จะช่วยงานช่วยรับผิดชอบ อะไรได้บ้าง ก็ต้องช่วยกันบ้าง
ไม่ควรจะปล่อยให้คุณพ่อคุณแม่ทำอย่างเดียว อย่าเห็นพ่อแม่ว่าเป็นคนรับใช้ไม่ดี
ทำไม่เป็น ก็ไปยืนให้กำลังใจบ้าง รู้จักถามสักคำก็ยังพอได้บุญ เป็นทุนสร้างบ้านให้เป็นสวรรค์ได้ ส่วนมากก็จะไม่สนใจทำบุญตัวนี้กันเอาเสียเลย
๖.ปัตติทานมัย ได้อะไรดีๆ ก็แบ่งปันกันกิน แบ่งปันกันใช้
เจออะไรสวยๆ ดีๆ ก็หัดคิดถึงคนที่บ้านบ้าง กินอะไรอร่อยๆ ก็คิดถึงคนที่บ้านบ้าง
ก่อนที่จะกลืนสักคำก็ยังดี นี่คือสูตร ที่ทำให้เกิดความเห็นอกเห็นใจ
การเป็นห่วงเป็นใย ซึ่งกันและกัน อย่าอร่อยแต่เพียงคนเดียว
อย่าสวยแต่เพียงคนเดียวบางคนน่าสงสารมาก ได้อาหารอร่อยก็แอบกินคนเดียว
มีอะไรดีๆ ก็เก็บไว้คนเดียว อย่าทำอย่างนั้น และอย่าคิดว่า
เขาไม่เคยซื้ออะไรมาให้เรากินเลย เราก็อย่าซื้ออะไรให้เขากินเช่นกัน
อย่าคิดอย่างนั้น จงคิดว่า เราจะต้องซื้ออะไรไปให้เขากินหนอ ถึงจะถูกต้อง
เราต้องเป็นคนคิดก่อน ทำก่อน เมื่อต่างคนต่างคิดกันแบบนี้ ครอบครัวก็จะอยู่ดีมีสุขได้
๗.ปัตตานุโมทนามัย แสดงความดีใจเมื่อใครพบความสุข ความสำเร็จ
อย่าให้มีรู้สึกอิจฉาริษยากันเช่น คนเรามักมีความรู้สึกนี้เกิดขึ้นได้เสมอ
เห็นคนในบ้านได้รับคำชม ก็รู้สึกไม่พอใจ คนในบ้านได้อะไรดีๆมา
ก็นึกในใจว่าทำไม เราไม่ได้บ้าง ความรู้สึกแบบนี้ถือว่าเป็นความรู้สึกที่ไม่ดี
ในกลุ่มลูกๆก็เช่นกัน หากพ่อแม่ให้อะไรคนใดคนหนึ่งในบ้าน ก็อย่าจ้องริษยาอิจฉากัน
การอิจฉาริษยาตาร้อน ย่อมทำให้บ้านเป็นนรกได้อย่างแน่นอน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
๘.ธัมมัสสวนมัย พากันไปศึกษาธรรมปฏิบัติธรรมทำบุญร่วมกัน
มีเวลาก็ชวนกันไปทำความดี สร้างความดีให้โลก ให้สังคม เช่น บ้านไหนเขามีงานบุญ
เราก็ต้องเสียสละเวลาบ้างไปบ้าง ถ้าเขาเชิญเราก็ต้องไป ไม่มีเวลามาก แวบหนึ่งก็ยังดี
ดีกว่าไม่ไปเลย วัดก็ต้องพากันไปบ้าง ไปทำบุญร่วมกันบ้าง จะได้มีบุญต่อกัน
ไปนั่งสมาธิทั้งครอบครัว ไปสวดมนต์ทั้งครอบครัว
พาครอบครัวไปให้พระอบรมสั่งสอนบ้าง จะได้รู้ว่าเราต้องปรับต้องแก้อะไร
วันสำคัญของพ่อ ของแม่ ของพี่ ของน้อง ก็ควรไปทำบุญให้พี่ให้น้องบ้าง
ชีวิตครอบครัวจะได้มีบุญรักษา มีบุญคุ้มครอง
มารจะได้ไม่มีโอกาสมาเบียดเบียนครอบครัวเรา
๙.ธัมมเทสนามัย แนะนำตักเตือน ให้ข้อคิด ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
การรู้จักให้กำลังใจซึ่งกันและกัน การให้ข้อคิด คอยให้ข้อแนะนำ คอยบอก
คอยสอน ถือว่าเป็นสิ่งที่จะต้องทำ และก็ควรเลือกเวลาทำด้วย ให้ดูจังหวะ
ว่าเวลาไหนควรบอกไม่ควรบอก ก่อนสอนลูก ก่อนบอกลูก ก็ควรพากันไป
ไหว้พระสวดมนต์ก่อน แล้วค่อยบอกค่อยสอน
บางคนพอมีความโกรธขึ้นมาก็เริ่มบ่น ก็คิดว่าเราสอนแล้วบอกแล้ว นั้นไม่ใช้
นั้นเขาเรียกว่า เป็นการสาปแช่ง ผิดหลักศาสนา
มีคนใดคนหนึ่งในครอบครัวมีปัญหา ก็ควรเอาใจใส่บ้าง คอยเป็นเพื่อน
คอยดูแล อย่าคิดซ้ำเติม อย่าตำหนิ คนเราผิดพลาดกันได้ ควรรู้จักให้อภัยกัน
๑๐.ทิฏฐุชุกัมม์ ปรับความคิด ให้มีความเห็นแนวเดียวกันจุดเดียวกัน
สุดท้าย คือ นายท้ายเรือ เรือจะเข้าฝั่ง หรือจะลงทะเลลึก ก็ตัวนี้ คือ ความคิด
ความอ่าน ที่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน จุดเดียวกัน
คนเราต่างพ่อ ต่างแม่ ต่างพี่ ต่างน้อง มาอยู่ด้วยกัน แน่นอนนิสัยย่อมต่างกัน
ต้องปรับ ต้องเปลี่ยน ให้มีความเห็นในทางเดียวกัน ตัวความคิดที่ไม่ตรงกันนี่แหล่ะ
คือ ตัวการที่จะทำ ให้เกิดการทะเลาะกัน หากปรับความคิดกันไม่ได้ ก็พากันไปปรับที่วัด
หรือกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือ ปัญหาจะได้ไม่เกิดขึ้น ครอบครัวจะได้เป็นเมืองสวรรค์
ทั้งหมดที่กล่าวมาภาษาพระเรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ แปลว่า เหตุให้เกิดบุญ เหตุให้ไปสวรรค์
บุญไม่จำเป็นต้องทำแต่ในวัดอย่างเดียวเท่านั้น
บุญก็เป็นเรื่องที่จำเป็น ที่จะต้องทำในบ้าน ให้ได้มากที่สุด และต้องทำให้ได้ทุกวัน
หากครอบครัวไหน ขาดการทำบุญในบ้าน ตามสูตรนี้แล้ว ครอบครัวนั้นก็น่าเป็นห่วงเหลือเกิน
ขอให้จำไว้ว่า บุญนั้นต้องไปฝึกที่วัด แล้วให้มาปฏิบัติที่บ้าน บ้านจะได้กลายเป็นสวรรค์ มีแต่ความสุขบนโลกใบนี้ตลอดไป

ผู้ประทุษร้ายเขาข้างเดียว เขาไม่ทำตอบ ได้รับโทษ ๑๐

๑. ประสบทุกขเวทนากล้าแข็ง
๒. ประสบหายนะความเสื่อม
๓. การแตกทำลายแห่งสรีระ (ตาย)
๔. อาพาธหนัก
๕. จิตฟุ้งซ่าน
๖. อุปสรรค เหตุขัดข้องจากผู้ใหญ่
๗. ถูกกล่าวหาร้ายแรง
๘. เสื่อมญาติ
๙. เสื่อมทรัพย์
๑๐. ไฟ หรือไฟป่าอาจไหม้บ้าน ผลที่ได้รับอันเป็นส่วนอนาคตคือ ตายแล้วย่อมเกิดในนรก
คัดลอกจากหนังสืออนุสรณ์งานบำเพ็ญกุศลศพ ครบ ๑ ปี
พระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (หลวงพ่อสาย อคฺควํโส)
อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ต. ท่าขนุน อ. ทองผาภูมิ จ. กาญจนบุรี

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553

เบรกตื้อ... เบรกติด... เบรกแตก

นานแค่ไหน?... ที่คุณลืมใส่ใจกับระบบ BRAKES!


เจอะคำถามนี้เข้า..อิ้งกิมกี่..ไปเลยใช้ใหม่ครับ..เอ านิ้วหมดทั้งตัว แถมไปคว้านิ้วเรียว ๆ ของสาวข้าง ๆ มานั่งนับ ก็ยังไม่หมดวันเวลาที่หลงลืมไป..จริงไหม!
วันนี้ถ้าผมไม่บังเอิญเอาแม่แรงยกล้อหลังเจ้า "อัลฟ่า 2000 เบอร์ลิน่า" ของผมขึ้นเพื่อตั้งระยะหน้าเบรกซะใหม่ ให้การเดินทางไปจังหวัดพะเยา เยี่ยมเพื่อนเก่าของผมที่หลบไปทำวิจัย IMF ไม่สำเร็จสักที ผมคงไม่มีวันหาเจอหรอกว่า อาการที่รถของผมเครื่องยนต์วิ่งน็อกเป็นบ้าเป็นหลังท ุกครั้งที่ออกรถ และเวลาวิ่งอยู่ในเกียร์สองเกิดขึ้นเพราะอะไร มันเป็นอย่างนี้มานานแล้วกระมัง เพียงแต่ผมมิค่อยได้ใช้มันบ่อยนักในช่วงนี้ ด้วยว่า 150 แรงม้าที่ "ซด" ผ่านคาร์บูเรเตอร์ "เดลลอร์โต้" 40 มม. 4 ลิ้นเปิดพร้อมกันของมันนี้ "ดื่ม" ออกเทน 95 แถว ๆ 5.5 กม./ลิตร โดยเฉลี่ยเมื่อวิ่งผ่าเมืองกรุง!
ก่อนที่ผมจะตั้งระยะหน้าเบรก ที่จับกับจานเบรกนั้น ผมยังไม่ได้ขึ้นแม่แรง ผมเริ่มด้วยการปีนเข้าไปในรถเอาเท้าเหยียบเพื่อ "ย้ำ" แป้นเบรกสองสามครั้งก่อน เพื่อให้ผ้าเบรกขยับเข้าที่แน่นอนเสียก่อน จากนั้นค่อยจัดแจงเอาแม่แรงขึ้นล้อคู่หน้า คว้าเอา "สามขา" มาหนึ่งคู่ค้ำลอยเอาไว้จากนั้ก็ทำเช่นเดียวกันที่ล้อ คู่หลัง (หากมี 3 ขาคู่เดียว ก็ขึ้นคู่ล้อคู่ใดก่อนก็ได้) และแล้วผมก็พบว่าเบรกหลังผมติดแน่นเกินไปจนหมุนล้อไม ่เขยื้อนตามมือ ดังที่เคยตั้งหน้าเบรกก่อนเดินทางไกล ๆ และวิ่งเร็ว ๆ ผมลองไปขยับอีกล้อหนึ่งดูบ้าง ปรากฏว่าล้อติดแน่นเช่นเดียวกัน? แต่เมื่อทิ้งรถไว้สักพัก ประมาณ 2-3 นาที ล้อซึ่งติดตายเมื่อสักครู่นั้นก็ค่อยขยับเขยื้อนได้อ ิสระตามแรงมือปกติดังเดิม ประสบการณ์ที่แล้ว ๆ มาบอกผมทันทีรถผมประสบอาการเบรกติด (ค้าง) เข้าซะแล้ว

>>อ่านต่อ<<

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

think think

" เกิดเป็นคนจะเป็นใหญ่อย่าใจน้อย    อะไรนิดอะไรหน่อยอย่าผวา
หวั่นสะดุ้งแม้เพียงเสียงนกกา              วันข้างหน้าจะเป็นใหญ่อย่างไรกัน
ธรรมดาไม้สูงย่อมต้องมีล้ม                 ทำงานใหญ่คนติชมอย่าเสียขวัญ
ขวัญต้องเยี่ยมเทียมฟ้ากล้าประจัญ     มุ่งฝ่าฟันให้ถึงซึ่งหลักชัย "

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ข้อคิดคำคม..... แม้เพียงประโยคเดียวก็เปลี่ยนชีวิตได้

1. จงฟังความรู้สึก ของผู้พูด..ไม่ใช่คำพูด
2. จุดที่ต่ำสุดของชีวิต ที่ทุกคนมีโอกาสประสบ เป็นได้ทั้งจุดจบ และบทเรียนที่ดี
3..มี 2 สองวิธีในการแสดงพละกำลังของคนเรา อย่างนึงคือ กดลง และอีกอย่างคือ ดึงขึ้น

ความพอเพียง



ข้อคิดจากขงเบ้ง

1.ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่ ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไรคุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น
2. เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาสเพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วยดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"
3. นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ
4. ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด
5. ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด

6. ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น
7. ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี
8. ไม้คดใช้ทำขอเหล็กงอใช้ทำเคียว แต่ คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย
9. เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว เดินหมากรุกยังต้องคิดเดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร
10. เมื่อใครสักคนหนึ่ง ทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขาเพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขาท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้
11. การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น
12. ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสารมารถของตนอย่างเต็มที่
13. ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่
14. ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่
15. อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น
16. เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ใช่ หรือ อาจจะ" เขามีความหมายว่า "อาจจะ"
17. เมื่อนักการฑูตพูดว่า "อาจจะ" เขามีความหมายว่า "ไม่"
18. เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ไม่" เขาไม่ใช่นักการฑูตเพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร)
19. เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ไม่" หล่อนมีความหมายว่า "อาจจะ"
20. เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "อาจจะ" หล่อนมีความหมายว่า "ใช่ หรือ ได้"
21. เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ใช่ หรือ ได้" หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี.
22. สุภาพสตรีจะไม่ตอบรับใครง่าย ๆ
23. คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย
24. ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน
25. คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต