ต่อไปนี้ คือ ขั้นตอน 8 ขั้นที่ได้รับการพิสูจน์รับรองแล้วว่าจะเป็นประโยชน์มากสำหรับการเริ่มต้นทำธุรกิจของคุณและดำเนินธุรกิจจนถึงบรรลุความสำเร็จ
ขั้นตอนที่ 1 ทำความรู้จักกับธุรกิจของคุณ ไม่ ว่าคุณจะเลือกทำธุรกิจประเภทใดก็ตาม คุณจะต้องทำความรู้จักกับธุรกิจของคุณให้มากกว่าที่คุณจะรู้จักผู้คนที่คุณ ให้บริการ ถ้าธุรกิจนั้นเป็นสิ่งใหม่สำหรับคุณ คุณจะต้องเรียนรู้กับมันให้มากที่สุด เช่น ถ้าเป็นธุรกิจขายรถ คุณต้องรู้เกี่ยวกับสีของรถ การขัดเงา การเคลือบสี และ อะไหล่ต่าง ๆ และ คุณจะต้องพัฒนาทักษะการขายรถให้มีประสิทธิภาพ คุณจะรู้จักธุรกิจของคุณได้อย่างไร คุณต้องลงมือทำและเรียนรู้จักคู่แข่ง เข้าไปใช้บริการของคู่แข่งและอ่านโฆษณา แล้ววิธีการทำงานของคู่แข่งมาปรับปรุง ค้นหาข้อมูลจากห้องสมุดเกี่ยวกับสมาพันธ์การค้าและจากนิตยสารต่าง ๆ อ่านและเรียนรู้จากมัน ยิ่งคุณรู้มากเท่าไหร่ บริษัทของคุณก็สามารถสร้างผลกำไรได้มากเท่านั้น
ขั้นตอนที่ 2 ทำความรู้จักกับลูกค้าของคุณ ธุรกิจ จะประสบผลสำเร็จเมื่อคุณรู้ว่าความต้องการของลูกค้าคืออะไร และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ บางทีคุณอาจเป็นลูกค้าเสียเอง และสิ่งที่คุณคาดหวังคืออะไร ถ้าคุณไม่ใช้สินค้าหรือบริการนั้นๆ คุณพอจะทราบไหมว่ายังมีใครอื่นอีกที่ขายสินค้าหรือบริการ ลูกค้าคาดหวังอะไร จงค้นหาให้พบว่าใครคือลูกค้าของคุณ ทำไม อย่างไร เมื่อไร เท่าไร และ ข้อเท็จจริงอื่นๆ ยิ่งคุณมีข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้ามากเท่าไหร่คุณก็จะขายสินค้าได้มากเท่านั้น
ขั้นตอนที่ 3 ทำความรู้จักกับกฎหมายธุรกิจ กฎหมาย ธุรกิจที่ส่งเสริมการค้าที่ยุติธรรม และ ส่งเสริมสุขภาพชุมชน ติดต่อกับหน่วยงานรัฐบาลและศึกษาการทำธุรกิจของคุณต้องดำเนินการตามกฎหมาย ประเภทใด ในแต่ละประเทศจะมีกฎหมายบังคับใช้ไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำธุรกิจแบบโฮมบิสิเนส ซึ่งลูกค้าจะต้องมาหาคุณที่บ้าน บางประเทศจะต้องให้ธุรกิจมีใบอนญาตประกอบการ เช่น ใบอนุญาตให้ประกอบการร้านขายอาหาร ซึ่งคุณจะต้องมีการเสียภาษีด้วย เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 4 ทำความรู้จักกับทรัพย์สิน คุณ อาจจะต้องมีหลักทรัพย์ที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจซึ่งบางที่มากกว่าที่คุณคิด เอาไว้เสียอีก คือ นอกจากคุณจะต้องมีทักษะความรู้ความสามารถ สติปัญญา ประสบการณ์และเงินออมจำนวนหนึ่งแล้ว คุณจะต้องมีเวลาด้วย คุณจะต้องทำรายการทรัพย์สิน ตลอดจนถึงเวลาที่คุณใช้ในการทำงาน เมื่อตอนที่เราเริ่มต้นธุรกิจงานเขียนเมื่อหลายปีมาแล้ว ทุก ๆ เช้าเราจะต้องทำงานเขียนก่อนออกไปทำงานตามปกติ และเวลาว่างตอนพักเที่ยงเราก็มีเวลาเขียนเอกสารได้ด้วยเช่นกัน
ขั้นตอนที่ 5 การเพิ่มมูลค่าที่แท้จริง เมื่อ คุณเลือกดำเนินธุรกิจประเภทใดแล้วก็ตาม คุณจะต้องเพิ่มมูลค่าที่แท้จริงให้กับงานบริการของคุณ เช่น งานเลขานุการ คุณอาจจะมีบริการรับส่งเอกสารฟรี หรือ การเป็นคนดูแลสัตว์เลี้ยง คุณอาจใช้เวลาทุกวัน ๆ ละ 1 ชั่วโมงสำหรับการฝึกสัตว์ให้เชื่อฟัง หรือคนทำบัญชีก็อาจจะต้องเตรียมแบบฟอร์มการเสียภาษีให้แก่ลูกค้าที่มีการ เซ็นต์สัญญาจ้างงานเป็นรายปี จงทำให้มากกว่าที่ลูกค้าคาดหวัง และ ทำให้ดีกว่าคู่แข่ง และ ธุรกิจของคุณจะประสบความสำเร็จ
ขั้นตอนที่ 6 รักษาลูกค้าที่ดีไว้ เพราะ ว่าลูกค้าบางคนนั้นคุณจะรู้สึกว่าค้าขายได้ง่ายกว่าลูกค้าบางคน ลูกค้าบางคนเอาใจยาก บางคนก็ลืมจ่ายเงินแก่คุณ เมื่อคุณมองเห็นแล้วว่าลูกค้าแบบไหนน่าจะสร้างกำไรในธุรกิจของคุณได้มากคุณ ก็จะต้องเก็บรักษาที่ดีนั้นไว้ สร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า และคิดดูว่าคุณจะสามารถเสนอบิรการอะไรที่ดี ๆให้แก่ลูกค้าเหล่านั้น และดูว่ายังพอมีเพื่อน ๆ หรือ ญาติอีกบ้างไหมที่คุณจะเสนองขายงานบริการของคุณแก่พวกเขาได้ การรักษาลูกค้าที่ดี ๆ เอาไว้ก็ดีกว่าการเสียเวลากับลูกค้าที่ไม่ช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโต
ขั้นตอนที่ 7 จัดการเงินอย่างชาญฉลาด เมื่อ คุณมีรายได้เข้าร้าน บางทีคุณอาจจะลืมไปว่านั่นไม่ใช่เงินของคุณทั้งหมด แต่คุณจะต้องมีการแบ่งเงินบางส่วนไว้สำหรับค่าใช้จ่ายบางอย่างด้วย เช่น ค่าโทรศัพท์ ค่าวัสดุอุปกรณ์ และ ค่าภาษี สิ่งที่คุณสามารถเก็บเป็นของคุณได้คือ กำไรที่หักค่าใช้จ่ายแล้ว ยิ่งคุณสามารถจัดการด้านการเงินอย่างฉลาดคุณก็จะเหลือผลกำไรมาก เพราะว่าเงินโดยส่วนใหญ่มักจะหลุดมือไปจากคุณเพราะการถูกล่อลวงให้ต้องซื้อ โน่นซื้อนี่อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ ซอฟแวร์หรืออุปกรณ์พิเศษบางอย่าง เป็นไปได้ว่าคุณน่าจะได้จัดทำรายการสิ่งของที่จะต้องซื้อและลงวันที่ที่จะ ซื้อไว้ด้วย ควรจะจดบันทึกไว้ล่วงหน้าอย่างน้อยสัก 30 วันก่อนที่จะซื้อ ซึ่งจะทำให้คุณทราบว่าของที่คุณซื้อมานั้นใช้งานได้คุ้มค่าหรือไม่ ทำกำไรให้คุณได้มากน้อยเท่าไร
ขั้นตอนที่ 8 จงทำให้ดีกว่าเดิม การ ทำให้ดีนั้นเป็นสิ่งดี แต่ไม่ใช่ว่ามันจะคงอยู่ได้ตลอดเวลาน ดังนั้น คุณจะต้องทำให้ดีขึ้น ดีกว่าเดิม ดีกว่าคู่แข่งทางการค้าของคุณ ทำให้ดีกว่าเดือนที่แล้ว ปรับปรุงบริการของคุณ หาความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ ลูกค้า และ กฎหมาย อาจจะด้วยการลงทุนในทรัพย์สินมากขึ้น เพิ่มคุณค่างานบริการให้สูงขึ้น และ เก็บรักษาลูกค้าที่ดีๆ ไว้ และจะต้องจัดการด้านการเงินอย่างชาญฉลาดทุก ๆวัน
คำแนะนำ : ต้องยอบรับว่า ในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น จะต้องขึ้นอยู่กับตัวคุณเป็นหลัก เรามีหน้าที่ในการนำเสนอข้อมูลเท่านั้น การตัดสินใจได้เร็วและถูกต้องของคุณ จะทำให้คุณสามารถเริ่มต้นได้ก่อนใครและจะสามารถประสบความสำเร็จก่อนใคร
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การลงทุน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การลงทุน แสดงบทความทั้งหมด
วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
นักลงทุน 4 ประเภท
นักลงทุน 4 ประเภท
ตอนนี้ ผู้น้อย ‘มังกรในสระ’ จะกล่าวถึงจุดเริ่มต้นแห่งการสร้างแนวทางการลงทุนที่สอดคล้องกับจุดแข็งและจุดอ่อนสำหรับนักลงทุนแต่ละคนเลยทีเดียว ทว่าต้องขอย้ำอีกครั้งว่า จุดเริ่มต้นที่ว่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อนักลงทุนผู้นั้นตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดแล้วว่าจะเลิกลงทุนแบบจับจดเสียที และจะมุ่งมั่นแสวงหาแนวทางการลงทุนอันเป็นเลิศเฉพาะตนแทน
ขึ้นต้นว่าจะกล่าวถึงการสร้างแนวทางการลงทุนสำหรับนักลงทุนแต่ละคน ฟังดูโอ้อวดอยู่บ้าง เพราะนักลงทุนแต่ละคนต่างก็มีความเป็นปัจเจก มีความแตกต่างในหลากหลายด้านไม่ว่าจะเป็นอายุ เพศ การศึกษา สถานะทางเศรษฐกิจ ทัศนคติ อุปนิสัยใจคอ และอีกสารพัดจะกล่าว แต่ผู้น้อยย่อมพิจารณาดีแล้วจึงกล้ากล่าวเช่นนั้น เนื่องด้วยไม่ว่านักลงทุนแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันมากเพียงใด เนื้อแท้ของแต่ละคนย่อมประกอบด้วย 2 สิ่งร่วมกัน นั่นคือ ‘เงิน’ กับ ‘ความกล้า’ ขาด 2 สิ่งนี้ย่อมเป็นนักลงทุนไม่ได้ หรือ ขาดเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นนักลงทุนไม่ได้เช่นกัน หากมีเงิน แต่ขาดความกล้า ก็เป็นได้เพียงนักออมเงินเท่านั้น หากมีความกล้าแต่ขาดเงิน ก็เป็นได้เพียงนักออมเงินอีกเช่นกัน พร้อมเมื่อไร ค่อยลงทุน แต่ถ้าขาดทั้งเงิน ขาดทั้งความกล้า ก็คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากเป็นนักอุตสาหะ ขยันขันแข็งประกอบสัมมาอาชีพ แสวงหาความรู้และช่องทางในการเพิ่มพูนรายได้โดยสุจริต ดูผู้ที่สู้ชีวิตจนประสบความสำเร็จทั้งหลายเป็นแบบอย่าง พร้อมกับกันตนเองให้พ้นจากอบายมุข นั่นประไร! เผลอหน่อยเดียวเป็นนักเทศน์ไปเสียแล้ว
เข้าเรื่องต่อดีกว่า เมื่อผู้น้อยตัดรายละเอียดปลีกย่อยที่อยู่ในความเป็นปัจเจกของนักลงทุนแต่ละคนออกไปแล้ว ก็เหลือองค์ประกอบพื้นฐานเพียงสองส่วนด้วยกันดังได้กล่าวมาแล้วได้แก่ เงิน ซึ่งหมายถึง เงินออมที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้อย่างน้อยก็ในระยะ 1 ปี และ ความกล้า หมายถึง จิตใจที่พร้อมเผชิญความเสี่ยง หรือ ความสูญเสียที่อาจเกิดจากการลงทุน เมื่อทราบความหมายของทั้งสององค์ประกอบแล้ว คราวนี้ก็สามารถนำมาจัดประเภทนักลงทุนได้อย่างเหมาะสม ซึ่งผู้น้อยพิเคราะห์แล้วเห็นว่าย่อมไม่พ้นไปจาก 4 ประเภทดังต่อไปนี้ 1.ทุนมาก ชอบเสี่ยง 2.ทุนมาก ไม่ชอบเสี่ยง 3.ทุนน้อย ชอบเสี่ยง 4.ทุนน้อย ไม่ชอบเสี่ยง ขอขยายความสักเล็กน้อยว่า การแบ่งว่า ทุนมากหรือทุนน้อยนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่ปริมาณเงินที่สามารถนำไปลงทุนได้เป็นหลัก แต่ขึ้นอยู่กับระยะเวลา หรือ ความเย็นของเงินว่าจะสามารถคงอยู่กับการลงทุนได้นานเพียงใด ส่วนการแบ่งว่าชอบเสี่ยง หรือ ไม่ชอบเสี่ยงนั้นเป็นการแบ่งตามคุณสมบัติพื้นฐานทางด้านจิตใจ หรือ อัธยาศัยของแต่ละบุคคลนั่นเอง
เชิญนายท่านพิจารณารายละเอียดของความเป็นนักลงทุนในแต่ละประเภทดังต่อไปนี้
- ‘ทุนมาก ชอบเสี่ยง’ นักลงทุนประเภทนี้คือผู้ที่มีบ้านเป็นของตนเองโดยปราศจากภาระผ่อนชำระหรือติดจำนอง คือผู้ที่มีสินทรัพย์มากกว่าหนี้สินตั้งแต่ 2 เท่าขึ้นไป คือผู้ที่มีเงินออมที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในช่วงเวลาอย่างน้อย 10 ปี และคือผู้ที่มีรายได้มั่นคงและยั่งยืน ส่วนพื้นฐานจิตใจของนักลงทุนประเภทนี้ย่อมเข้ากันได้ดีกับความมีทุนมาก คือเป็นผู้ชอบเสี่ยง ปรารถนาผลตอบแทนจากการลงทุนที่เหนือกว่าความคาดหมายที่จะได้มาโดยใช้ระยะเวลาอันสั้น ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องรอข้อมูลรอบด้าน และคือผู้ที่มีความกระตือรือร้นที่จะแสวงหาโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ตลอดเวลา
- ‘ทุนมาก ไม่ชอบเสี่ยง’ นักลงทุนประเภทนี้มีคุณสมบัติในส่วนของทุนครบถ้วนเช่นเดียวกับนักลงทุนประเภทแรก แต่อัธยาศัยในการลงทุนย่อมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากนักลงทุนประเภทนี้ชอบความแน่นอนมากกว่าความเสี่ยง ปรารถนาผลตอบแทนจากการลงทุนที่อยู่ในความคาดหมายที่จะได้มาโดยใช้ระยะเวลาอันเหมาะสม ตัดสินใจอย่างรอบคอบรัดกุมโดยอาศัยข้อมูลรอบด้าน และกระตือรือร้นที่จะแสวงหาโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนเมื่อสภาวการณ์ต่างๆเอื้ออำนวย
- ‘ทุนน้อย ชอบเสี่ยง’ นักลงทุนประเภทนี้มีคุณสมบัติในส่วนของทุนไม่ครบถ้วนอย่างนักลงทุนประเทศที่หนึ่งและสอง โดยอาจจะขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ ไม่ขาดแต่ไม่สมบูรณ์เท่า เช่น มีบ้านเป็นของตนเองแต่ติดภาระผ่อนชำระ มีสินทรัพย์สูงไม่ถึง 2 เท่าของหนี้สิน มีเงินออมแต่จำเป็นต้องใช้ภายใน 10 ปี หรือ มีรายได้ที่มั่นคงแต่ไม่ยั่งยืน ขณะที่พื้นฐานทางด้านจิตใจของนักลงทุนประเภทนี้ไม่สอดคล้องกับความมีทุนน้อย เนื่องจากชอบเสี่ยง ปรารถนาผลตอบแทนจากการลงทุนที่เหนือกว่าความคาดหมายที่จะได้มาโดยใช้ระยะเวลาอันสั้น ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องรอข้อมูลรอบด้าน และมีความกระตือรือร้นที่จะแสวงหาโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ตลอดเวลา นักลงทุนประเภทที่สามนี้อาจมีความกล้าหาญพอที่จะกู้เงินเพื่อนำเงินไปเสี่ยงลงทุน ซึ่งก็มีทั้งประสบความสำเร็จและความล้มเหลว
- ‘ทุนน้อย ไม่ชอบเสี่ยง’ นักลงทุนประเภทนี้มีคุณสมบัติในส่วนของทุนเช่นเดียวกับนักลงทุนประเภทที่สาม ทว่ามีพื้นฐานทางด้านจิตใจแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากชอบความแน่นอนเป็นหลัก ปรารถนาผลตอบแทนจากการลงทุนที่อยู่ในความคาดหมายที่จะได้มาโดยใช้ระยะเวลาอันเหมาะสม ตัดสินใจอย่างรอบคอบรัดกุมโดยอาศัยข้อมูลรอบด้าน และกระตือรือร้นที่จะแสวงหาโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนเมื่อสภาวการณ์ต่างๆเอื้ออำนวย นักลงทุนประเภทนี้จะลงทุนเท่าที่ทุนของตนมี ไม่อาจหาญก่อหนี้เพื่อนำเงินไปลงทุนแสวงหาผลตอบแทนที่สูงเกินคาด
เป็นอันจบสำหรับลักษณะของนักลงทุน 4 ประเภท คราวนี้ก็มาถึงจุดเริ่มต้นแห่งการสร้างแนวทางการลงทุนที่สอดคล้องกับจุดแข็งและจุดอ่อน นั่นคือ การวิเคราะห์ตนเองว่า ฐานะทางเศรษฐกิจ พื้นฐานทางด้านจิตใจ ประสบการณ์และความชำนาญเฉพาะตน หรือ พรสวรรค์ที่มีอยู่ น่าจะสอดคล้องกับการเป็นนักลงทุนประเภทใดมากที่สุด ผู้น้อยขอยืนยันว่า นักลงทุนทั้ง 4 ประเภทนี้มีศักยภาพที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน อยู่ที่การตัดสินใจว่าจะเป็นนักลงทุนแบบใดที่จะเข้ากับอัธยาศัยของตนมากที่สุดเท่านั้น ตำราบางเล่มมุ่งที่จะให้นักลงทุนทุกคนเป็นประเภท ‘ทุนมาก ไม่ชอบเสี่ยง’ หรือ ‘ทุนน้อย ไม่ชอบเสี่ยง’ ทว่าผู้น้อยเห็นว่าจะเป็นนักลงทุนประเภทใดก็รวยได้ไม่แพ้กัน ขอเพียงพัฒนาทักษะการรุก รับ ถอยเฉพาะตนให้ชำนาญและสอดคล้องกับตัวตนของตนเองให้มากที่สุดเท่านั้นพอ เริ่มจะออกไปทางปรัชญาสักหน่อย ทว่าก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะนักลงทุนอย่างจอร์จ โซรอส หรือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ต่างก็มีแนวทางการลงทุนของตน ซึ่งก็ทำให้เป็นเศรษฐีระดับโลกได้เหมือนกัน
ส่วนจะรวยมากน้อยกว่ากันเพียงใดนั้นไม่สำคัญ เพราะถ้าเป็นเศรษฐีระดับที่ใช้เงินไม่หมดในชาตินี้ ผู้น้อยก็ถือว่ารวยเท่ากัน คนหนึ่งมุ่งแสวงหาผลตอบแทนจากการเก็งกำไรเมื่อโอกาสมาถึง ขณะที่อีกคนหนึ่งมุ่งแสวงหาผลตอบแทนจากปัจจัยพื้นฐานอันแข็งแกร่งที่คนส่วนใหญ่คลาดสายตา ทว่าผลลัพธ์ที่ออกมาคือ ‘รวยทั้งคู่’ และรวยในระดับที่ใช้เท่าไรก็ไม่หมด จึ่งเป็นดั่งสุภาษิตจีนที่ว่า ‘ไม่ว่าแมวสีใด จับหนูได้เหมือนกัน’ ซึ่งท่านประธาน ‘เติ้ง เสี่ยวผิง’ ผู้ล่วงลับเคยนำมากล่าวเมื่อครั้งนำระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมมาใช้ควบคู่กับระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ (นั่นแนะ!ไม่วายแถมความรู้ประวัติศาสตร์เข้าไปอีก) ดังนั้น ไม่ว่านายท่านจะเป็นนักลงทุนประเภทใด หรือ ตัดสินใจที่จะเป็นนักลงทุนประเภทใด ขอให้เป็นแมวที่จับหนูได้ก็พอ คือ เป็นนักลงทุนที่ประสบชัยชนะอย่างยั่งยืนในตลาดหุ้นไทยนั่นเอง
เมื่อทราบและแน่ใจแล้วว่า ตนเองเป็นนักลงทุนประเภทใด ตอนหน้า ผู้น้อยขอเชิญพบกับการพัฒนากลยุทธ์การลงทุนที่สอดคล้องกับนักลงทุนแต่ละประเภท วอนนายท่านติดตาม สวัสดี........
ตอนนี้ ผู้น้อย ‘มังกรในสระ’ จะกล่าวถึงจุดเริ่มต้นแห่งการสร้างแนวทางการลงทุนที่สอดคล้องกับจุดแข็งและจุดอ่อนสำหรับนักลงทุนแต่ละคนเลยทีเดียว ทว่าต้องขอย้ำอีกครั้งว่า จุดเริ่มต้นที่ว่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อนักลงทุนผู้นั้นตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดแล้วว่าจะเลิกลงทุนแบบจับจดเสียที และจะมุ่งมั่นแสวงหาแนวทางการลงทุนอันเป็นเลิศเฉพาะตนแทน
ขึ้นต้นว่าจะกล่าวถึงการสร้างแนวทางการลงทุนสำหรับนักลงทุนแต่ละคน ฟังดูโอ้อวดอยู่บ้าง เพราะนักลงทุนแต่ละคนต่างก็มีความเป็นปัจเจก มีความแตกต่างในหลากหลายด้านไม่ว่าจะเป็นอายุ เพศ การศึกษา สถานะทางเศรษฐกิจ ทัศนคติ อุปนิสัยใจคอ และอีกสารพัดจะกล่าว แต่ผู้น้อยย่อมพิจารณาดีแล้วจึงกล้ากล่าวเช่นนั้น เนื่องด้วยไม่ว่านักลงทุนแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันมากเพียงใด เนื้อแท้ของแต่ละคนย่อมประกอบด้วย 2 สิ่งร่วมกัน นั่นคือ ‘เงิน’ กับ ‘ความกล้า’ ขาด 2 สิ่งนี้ย่อมเป็นนักลงทุนไม่ได้ หรือ ขาดเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นนักลงทุนไม่ได้เช่นกัน หากมีเงิน แต่ขาดความกล้า ก็เป็นได้เพียงนักออมเงินเท่านั้น หากมีความกล้าแต่ขาดเงิน ก็เป็นได้เพียงนักออมเงินอีกเช่นกัน พร้อมเมื่อไร ค่อยลงทุน แต่ถ้าขาดทั้งเงิน ขาดทั้งความกล้า ก็คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากเป็นนักอุตสาหะ ขยันขันแข็งประกอบสัมมาอาชีพ แสวงหาความรู้และช่องทางในการเพิ่มพูนรายได้โดยสุจริต ดูผู้ที่สู้ชีวิตจนประสบความสำเร็จทั้งหลายเป็นแบบอย่าง พร้อมกับกันตนเองให้พ้นจากอบายมุข นั่นประไร! เผลอหน่อยเดียวเป็นนักเทศน์ไปเสียแล้ว
เข้าเรื่องต่อดีกว่า เมื่อผู้น้อยตัดรายละเอียดปลีกย่อยที่อยู่ในความเป็นปัจเจกของนักลงทุนแต่ละคนออกไปแล้ว ก็เหลือองค์ประกอบพื้นฐานเพียงสองส่วนด้วยกันดังได้กล่าวมาแล้วได้แก่ เงิน ซึ่งหมายถึง เงินออมที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้อย่างน้อยก็ในระยะ 1 ปี และ ความกล้า หมายถึง จิตใจที่พร้อมเผชิญความเสี่ยง หรือ ความสูญเสียที่อาจเกิดจากการลงทุน เมื่อทราบความหมายของทั้งสององค์ประกอบแล้ว คราวนี้ก็สามารถนำมาจัดประเภทนักลงทุนได้อย่างเหมาะสม ซึ่งผู้น้อยพิเคราะห์แล้วเห็นว่าย่อมไม่พ้นไปจาก 4 ประเภทดังต่อไปนี้ 1.ทุนมาก ชอบเสี่ยง 2.ทุนมาก ไม่ชอบเสี่ยง 3.ทุนน้อย ชอบเสี่ยง 4.ทุนน้อย ไม่ชอบเสี่ยง ขอขยายความสักเล็กน้อยว่า การแบ่งว่า ทุนมากหรือทุนน้อยนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่ปริมาณเงินที่สามารถนำไปลงทุนได้เป็นหลัก แต่ขึ้นอยู่กับระยะเวลา หรือ ความเย็นของเงินว่าจะสามารถคงอยู่กับการลงทุนได้นานเพียงใด ส่วนการแบ่งว่าชอบเสี่ยง หรือ ไม่ชอบเสี่ยงนั้นเป็นการแบ่งตามคุณสมบัติพื้นฐานทางด้านจิตใจ หรือ อัธยาศัยของแต่ละบุคคลนั่นเอง
เชิญนายท่านพิจารณารายละเอียดของความเป็นนักลงทุนในแต่ละประเภทดังต่อไปนี้
- ‘ทุนมาก ชอบเสี่ยง’ นักลงทุนประเภทนี้คือผู้ที่มีบ้านเป็นของตนเองโดยปราศจากภาระผ่อนชำระหรือติดจำนอง คือผู้ที่มีสินทรัพย์มากกว่าหนี้สินตั้งแต่ 2 เท่าขึ้นไป คือผู้ที่มีเงินออมที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในช่วงเวลาอย่างน้อย 10 ปี และคือผู้ที่มีรายได้มั่นคงและยั่งยืน ส่วนพื้นฐานจิตใจของนักลงทุนประเภทนี้ย่อมเข้ากันได้ดีกับความมีทุนมาก คือเป็นผู้ชอบเสี่ยง ปรารถนาผลตอบแทนจากการลงทุนที่เหนือกว่าความคาดหมายที่จะได้มาโดยใช้ระยะเวลาอันสั้น ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องรอข้อมูลรอบด้าน และคือผู้ที่มีความกระตือรือร้นที่จะแสวงหาโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ตลอดเวลา
- ‘ทุนมาก ไม่ชอบเสี่ยง’ นักลงทุนประเภทนี้มีคุณสมบัติในส่วนของทุนครบถ้วนเช่นเดียวกับนักลงทุนประเภทแรก แต่อัธยาศัยในการลงทุนย่อมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากนักลงทุนประเภทนี้ชอบความแน่นอนมากกว่าความเสี่ยง ปรารถนาผลตอบแทนจากการลงทุนที่อยู่ในความคาดหมายที่จะได้มาโดยใช้ระยะเวลาอันเหมาะสม ตัดสินใจอย่างรอบคอบรัดกุมโดยอาศัยข้อมูลรอบด้าน และกระตือรือร้นที่จะแสวงหาโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนเมื่อสภาวการณ์ต่างๆเอื้ออำนวย
- ‘ทุนน้อย ชอบเสี่ยง’ นักลงทุนประเภทนี้มีคุณสมบัติในส่วนของทุนไม่ครบถ้วนอย่างนักลงทุนประเทศที่หนึ่งและสอง โดยอาจจะขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ ไม่ขาดแต่ไม่สมบูรณ์เท่า เช่น มีบ้านเป็นของตนเองแต่ติดภาระผ่อนชำระ มีสินทรัพย์สูงไม่ถึง 2 เท่าของหนี้สิน มีเงินออมแต่จำเป็นต้องใช้ภายใน 10 ปี หรือ มีรายได้ที่มั่นคงแต่ไม่ยั่งยืน ขณะที่พื้นฐานทางด้านจิตใจของนักลงทุนประเภทนี้ไม่สอดคล้องกับความมีทุนน้อย เนื่องจากชอบเสี่ยง ปรารถนาผลตอบแทนจากการลงทุนที่เหนือกว่าความคาดหมายที่จะได้มาโดยใช้ระยะเวลาอันสั้น ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องรอข้อมูลรอบด้าน และมีความกระตือรือร้นที่จะแสวงหาโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ตลอดเวลา นักลงทุนประเภทที่สามนี้อาจมีความกล้าหาญพอที่จะกู้เงินเพื่อนำเงินไปเสี่ยงลงทุน ซึ่งก็มีทั้งประสบความสำเร็จและความล้มเหลว
- ‘ทุนน้อย ไม่ชอบเสี่ยง’ นักลงทุนประเภทนี้มีคุณสมบัติในส่วนของทุนเช่นเดียวกับนักลงทุนประเภทที่สาม ทว่ามีพื้นฐานทางด้านจิตใจแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากชอบความแน่นอนเป็นหลัก ปรารถนาผลตอบแทนจากการลงทุนที่อยู่ในความคาดหมายที่จะได้มาโดยใช้ระยะเวลาอันเหมาะสม ตัดสินใจอย่างรอบคอบรัดกุมโดยอาศัยข้อมูลรอบด้าน และกระตือรือร้นที่จะแสวงหาโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนเมื่อสภาวการณ์ต่างๆเอื้ออำนวย นักลงทุนประเภทนี้จะลงทุนเท่าที่ทุนของตนมี ไม่อาจหาญก่อหนี้เพื่อนำเงินไปลงทุนแสวงหาผลตอบแทนที่สูงเกินคาด
เป็นอันจบสำหรับลักษณะของนักลงทุน 4 ประเภท คราวนี้ก็มาถึงจุดเริ่มต้นแห่งการสร้างแนวทางการลงทุนที่สอดคล้องกับจุดแข็งและจุดอ่อน นั่นคือ การวิเคราะห์ตนเองว่า ฐานะทางเศรษฐกิจ พื้นฐานทางด้านจิตใจ ประสบการณ์และความชำนาญเฉพาะตน หรือ พรสวรรค์ที่มีอยู่ น่าจะสอดคล้องกับการเป็นนักลงทุนประเภทใดมากที่สุด ผู้น้อยขอยืนยันว่า นักลงทุนทั้ง 4 ประเภทนี้มีศักยภาพที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน อยู่ที่การตัดสินใจว่าจะเป็นนักลงทุนแบบใดที่จะเข้ากับอัธยาศัยของตนมากที่สุดเท่านั้น ตำราบางเล่มมุ่งที่จะให้นักลงทุนทุกคนเป็นประเภท ‘ทุนมาก ไม่ชอบเสี่ยง’ หรือ ‘ทุนน้อย ไม่ชอบเสี่ยง’ ทว่าผู้น้อยเห็นว่าจะเป็นนักลงทุนประเภทใดก็รวยได้ไม่แพ้กัน ขอเพียงพัฒนาทักษะการรุก รับ ถอยเฉพาะตนให้ชำนาญและสอดคล้องกับตัวตนของตนเองให้มากที่สุดเท่านั้นพอ เริ่มจะออกไปทางปรัชญาสักหน่อย ทว่าก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะนักลงทุนอย่างจอร์จ โซรอส หรือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ต่างก็มีแนวทางการลงทุนของตน ซึ่งก็ทำให้เป็นเศรษฐีระดับโลกได้เหมือนกัน
ส่วนจะรวยมากน้อยกว่ากันเพียงใดนั้นไม่สำคัญ เพราะถ้าเป็นเศรษฐีระดับที่ใช้เงินไม่หมดในชาตินี้ ผู้น้อยก็ถือว่ารวยเท่ากัน คนหนึ่งมุ่งแสวงหาผลตอบแทนจากการเก็งกำไรเมื่อโอกาสมาถึง ขณะที่อีกคนหนึ่งมุ่งแสวงหาผลตอบแทนจากปัจจัยพื้นฐานอันแข็งแกร่งที่คนส่วนใหญ่คลาดสายตา ทว่าผลลัพธ์ที่ออกมาคือ ‘รวยทั้งคู่’ และรวยในระดับที่ใช้เท่าไรก็ไม่หมด จึ่งเป็นดั่งสุภาษิตจีนที่ว่า ‘ไม่ว่าแมวสีใด จับหนูได้เหมือนกัน’ ซึ่งท่านประธาน ‘เติ้ง เสี่ยวผิง’ ผู้ล่วงลับเคยนำมากล่าวเมื่อครั้งนำระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมมาใช้ควบคู่กับระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ (นั่นแนะ!ไม่วายแถมความรู้ประวัติศาสตร์เข้าไปอีก) ดังนั้น ไม่ว่านายท่านจะเป็นนักลงทุนประเภทใด หรือ ตัดสินใจที่จะเป็นนักลงทุนประเภทใด ขอให้เป็นแมวที่จับหนูได้ก็พอ คือ เป็นนักลงทุนที่ประสบชัยชนะอย่างยั่งยืนในตลาดหุ้นไทยนั่นเอง
เมื่อทราบและแน่ใจแล้วว่า ตนเองเป็นนักลงทุนประเภทใด ตอนหน้า ผู้น้อยขอเชิญพบกับการพัฒนากลยุทธ์การลงทุนที่สอดคล้องกับนักลงทุนแต่ละประเภท วอนนายท่านติดตาม สวัสดี........
วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553
เก็บเงินอย่างไรให้ได้ปีละ 100,000 บาท
หากคุณเป็นพนักงานกินเงินเดือนและไม่มีรายได้อื่นที่ไหน การเก็บเงินให้ได้ปีละ 100,000 บาทค่อนข้างยากพอสมควร ซึ่งหากคุณไม่ทำในตอนนี้เวลาก็จะผ่านเลยไป ทำให้คุณไม่มีต้นทุนชีวิตที่จะไปต่อยอดธุรกิจอย่างอื่นได้เลย
ในช่วงที่ธุรกิจตกสะเก็ดแบบนี้ เป็นหนทางที่เราจะใช้กระแสสังคมมากดดันตัวเองให้เก็บตังค์เอาไว้ เพื่อความมั่นคงในวันข้างหน้า ซึ่งก่อนอื่นคุณควรทำบัญชีค่าใช้จ่ายว่าสามารถเก็บเงินได้เดือนละเท่าไร แล้วนำวิธีสุดประหยัดเหล่านี้ไปปฏิบัติ เพราะอย่างน้อย ๆ คุณต้องเก็บเงินให้ได้ 8,500 บาทต่อเดือนถึงจะได้ 100,000 บาทต่อปี
ตัดค่าใช้จ่ายหลักออกไป
ลองนับดูว่าคุณมีค่าใช้จ่ายหลักเป็นอะไรบ้าง เช่น ค่าหอพัก ค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำมันรถ ค่าผ่อนรถ เป็นต้น แจกแจงหนี้แล้วดูว่าสิ่งใดพอจะบรรเทาเบาบางลงได้บ้าง อย่างเช่น ถ้าคุณมีพี่น้องหรือเพื่อนสนิทแต่อยู่หอพักคนละที่กัน ลองมาอยู่ด้วยกันแล้วหารค่าห้องดูไหม สำหรับค่าโทรศัพท์เลือกโปรโมชั่นให้เหมาะสมกับตัวเอง และไม่ใช้โทรศัพท์เป็นเครื่องมือแก้เหงา สุดท้ายเลือกใช้บริการรถสาธารณะดีกว่า เพราะราคาถูกไม่ต้องวนหาที่จอดรถ แถมรวดเร็วอีกต่างหาก รวมแล้วคุณประหยัดเงินไปได้กว่า 4,000 บาทต่อเดือน
เลือกกินของคุณภาพ ราคาไม่แพง
ถ้าคุณสามารถทำกับข้าวจากที่บ้านไปกินที่ออฟฟิศได้ หรือเลือกกินอาหารจานเดียวราคาไม่แพงแต่มีคุณภาพ ซึ่งดีกว่าฟาสต์ฟู้ดเป็นไหน ๆ หากต้องการสังสรรค์กับเพื่อนก็ใช้วิธีให้บ้านใดบ้านหนึ่งเป็นเจ้าภาพ แล้วหารกันซื้อของเข้าไปทำอาหาร ราคาไม่แพงสะอาดและอิ่มกว่าด้วย เพราะถ้าคุณมัวแต่กินอาหารนอกบ้านประเภทฟาสต์ฟู้ดหรือนิยมสั่งแบบดีลิเวอรี่ นอกจากราคาแพงแล้วคุณก็ต้องเสียเงินค่าลดความอ้วน ค่าฟิตเนสอีกมากมาย ดูแลตัวเองง่าย ๆ ดีกว่า ช่วยให้คุณประหยัดไปได้ประมาณ 2,000 ต่อเดือน
จำกัดการซื้อเสื้อผ้าเครื่องสำอาง
จากที่เคยตามเทรนด์มาตลอด เข้าสู่ยุคเรียบง่ายดีกว่า ก่อนอื่นถ้าคุณจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้ซื้อแบบเรียบและสามารถใช้ได้นาน ๆ เพราะเสื้อผ้าที่ตามกระแสมักจะใส่ได้ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น และลองค้นตู้เสื้อผ้าหาชิ้นที่ไม่เคยใส่หยิบมา Mix & Match ได้ชุดใหม่ตามใจคุณ หรือแลกเปลี่ยนเสื้อผ้ากับเพื่อน ๆ บ้าง ส่วนเครื่องสำอางให้ซื้อตอนมีโปรโมชั่นหรือฝากคนที่ไปต่างประเทศซื้อหา เพราะจะลดได้มากกว่า 30% วิธีนี้ลดค่าใช้จ่ายได้ 1,500 บาทต่อเดือน
ชวนเพื่อนเข้าแก๊งคุณนายประหยัด
นั่งประหยัดอยู่คนเดียวเหงาแย่ ลองชวนเพื่อมาเข้าแกงค์ประหยัดด้วยกัน เพื่อเป็นกำลังใจและการแข่งขันไปด้วยในตัว คุณจะรู้สึกสนุกมากกว่านั่งอดออมอยู่คนเดียว นอกจากนั้นไม่ต้องเสียเวลาจับกลุ่มเอนเตอร์เทนด้วยการดูหนัง ร้องคาราโอเกะ โยนโบว์ลิ่งให้เสียเงินทอง ลองเช่าซีดีมาดูหรือออกกำลังกายตามสวนสาธารณะพร้อมกับเพื่อน ๆ สนุกเหมือนกันแถมประหยัดเงินอีกด้วย
ในช่วงที่ธุรกิจตกสะเก็ดแบบนี้ เป็นหนทางที่เราจะใช้กระแสสังคมมากดดันตัวเองให้เก็บตังค์เอาไว้ เพื่อความมั่นคงในวันข้างหน้า ซึ่งก่อนอื่นคุณควรทำบัญชีค่าใช้จ่ายว่าสามารถเก็บเงินได้เดือนละเท่าไร แล้วนำวิธีสุดประหยัดเหล่านี้ไปปฏิบัติ เพราะอย่างน้อย ๆ คุณต้องเก็บเงินให้ได้ 8,500 บาทต่อเดือนถึงจะได้ 100,000 บาทต่อปี
ตัดค่าใช้จ่ายหลักออกไป
ลองนับดูว่าคุณมีค่าใช้จ่ายหลักเป็นอะไรบ้าง เช่น ค่าหอพัก ค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำมันรถ ค่าผ่อนรถ เป็นต้น แจกแจงหนี้แล้วดูว่าสิ่งใดพอจะบรรเทาเบาบางลงได้บ้าง อย่างเช่น ถ้าคุณมีพี่น้องหรือเพื่อนสนิทแต่อยู่หอพักคนละที่กัน ลองมาอยู่ด้วยกันแล้วหารค่าห้องดูไหม สำหรับค่าโทรศัพท์เลือกโปรโมชั่นให้เหมาะสมกับตัวเอง และไม่ใช้โทรศัพท์เป็นเครื่องมือแก้เหงา สุดท้ายเลือกใช้บริการรถสาธารณะดีกว่า เพราะราคาถูกไม่ต้องวนหาที่จอดรถ แถมรวดเร็วอีกต่างหาก รวมแล้วคุณประหยัดเงินไปได้กว่า 4,000 บาทต่อเดือน
เลือกกินของคุณภาพ ราคาไม่แพง
ถ้าคุณสามารถทำกับข้าวจากที่บ้านไปกินที่ออฟฟิศได้ หรือเลือกกินอาหารจานเดียวราคาไม่แพงแต่มีคุณภาพ ซึ่งดีกว่าฟาสต์ฟู้ดเป็นไหน ๆ หากต้องการสังสรรค์กับเพื่อนก็ใช้วิธีให้บ้านใดบ้านหนึ่งเป็นเจ้าภาพ แล้วหารกันซื้อของเข้าไปทำอาหาร ราคาไม่แพงสะอาดและอิ่มกว่าด้วย เพราะถ้าคุณมัวแต่กินอาหารนอกบ้านประเภทฟาสต์ฟู้ดหรือนิยมสั่งแบบดีลิเวอรี่ นอกจากราคาแพงแล้วคุณก็ต้องเสียเงินค่าลดความอ้วน ค่าฟิตเนสอีกมากมาย ดูแลตัวเองง่าย ๆ ดีกว่า ช่วยให้คุณประหยัดไปได้ประมาณ 2,000 ต่อเดือน
จำกัดการซื้อเสื้อผ้าเครื่องสำอาง
จากที่เคยตามเทรนด์มาตลอด เข้าสู่ยุคเรียบง่ายดีกว่า ก่อนอื่นถ้าคุณจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้ซื้อแบบเรียบและสามารถใช้ได้นาน ๆ เพราะเสื้อผ้าที่ตามกระแสมักจะใส่ได้ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น และลองค้นตู้เสื้อผ้าหาชิ้นที่ไม่เคยใส่หยิบมา Mix & Match ได้ชุดใหม่ตามใจคุณ หรือแลกเปลี่ยนเสื้อผ้ากับเพื่อน ๆ บ้าง ส่วนเครื่องสำอางให้ซื้อตอนมีโปรโมชั่นหรือฝากคนที่ไปต่างประเทศซื้อหา เพราะจะลดได้มากกว่า 30% วิธีนี้ลดค่าใช้จ่ายได้ 1,500 บาทต่อเดือน
ชวนเพื่อนเข้าแก๊งคุณนายประหยัด
นั่งประหยัดอยู่คนเดียวเหงาแย่ ลองชวนเพื่อมาเข้าแกงค์ประหยัดด้วยกัน เพื่อเป็นกำลังใจและการแข่งขันไปด้วยในตัว คุณจะรู้สึกสนุกมากกว่านั่งอดออมอยู่คนเดียว นอกจากนั้นไม่ต้องเสียเวลาจับกลุ่มเอนเตอร์เทนด้วยการดูหนัง ร้องคาราโอเกะ โยนโบว์ลิ่งให้เสียเงินทอง ลองเช่าซีดีมาดูหรือออกกำลังกายตามสวนสาธารณะพร้อมกับเพื่อน ๆ สนุกเหมือนกันแถมประหยัดเงินอีกด้วย
วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553
8 วินัยใหม่เพิ่มเงินเก็บทั้งปี
คนที่มีฐานะมั่นคงไม่ได้หมายความว่าเป็นคนหาเงินได้เยอะ
แต่กลับเป็นคนที่มีวินัยในการเก็บเงินและไม่เสียเงินไปกับเรื่องจุกจิกจนทำให้เงินเก็บสูญไป ปีใหม่นี้ตั้งต้นเก็บเงินกันใหม่ดีกว่า
1. เคลียร์ให้จบสิ้นก่อน
เป็นกฎทองของการเก็บเงินที่คุณควรจะเคลียร์หนี้สินที่ติดไว้กับบัตรเครดิตให้จบลงเสียก่อน เพราะแม้ว่าเครดิตการ์ดจะเป็นช่องทางจ่ายเงินที่สะดวกสบาย แต่ถ้าบิลที่เรียกเก็บทำให้การเงินของคุณไม่สมดุลกันระหว่างเดือน รับรองว่าคุณจะไม่มีเงินเหลือเก็บแน่นอน ทางแก้ก็คือค่อยๆ ผ่อนชำระหรือหาเงินกู้ที่มีดอกเบี้ยถูกกว่าโปะทับไปก่อนที่ดอกเบี้ยบัตรเครดิตจะบานเป็นดอกเห็ด
2. ทำช้อปปิ้งลิสต์....
>>อ่านต่อดีกว่า<<
แต่กลับเป็นคนที่มีวินัยในการเก็บเงินและไม่เสียเงินไปกับเรื่องจุกจิกจนทำให้เงินเก็บสูญไป ปีใหม่นี้ตั้งต้นเก็บเงินกันใหม่ดีกว่า
1. เคลียร์ให้จบสิ้นก่อน
เป็นกฎทองของการเก็บเงินที่คุณควรจะเคลียร์หนี้สินที่ติดไว้กับบัตรเครดิตให้จบลงเสียก่อน เพราะแม้ว่าเครดิตการ์ดจะเป็นช่องทางจ่ายเงินที่สะดวกสบาย แต่ถ้าบิลที่เรียกเก็บทำให้การเงินของคุณไม่สมดุลกันระหว่างเดือน รับรองว่าคุณจะไม่มีเงินเหลือเก็บแน่นอน ทางแก้ก็คือค่อยๆ ผ่อนชำระหรือหาเงินกู้ที่มีดอกเบี้ยถูกกว่าโปะทับไปก่อนที่ดอกเบี้ยบัตรเครดิตจะบานเป็นดอกเห็ด
2. ทำช้อปปิ้งลิสต์....
>>อ่านต่อดีกว่า<<
พิชิตสุขภาพการเงินที่ดีใน 31 วัน
"ออมอย่างมีวินัย "หัวใจสู่สุขภาพการเงินแข็งแรง.....
สุขภาพทางการเงินของคุณดีแค่ไหน ลองถามตัวเองดู
ถ้าอยากมีสุขภาพทางการเงินที่ดี ก็ให้รู้ไว้เถอะว่า เป็นเรื่องที่ไม่ยากจนไกลเกินเอื้อมหรอก เพราะสุขภาพทางการเงินที่ดีสร้างกันได้ ถ้าคุณมุ่งมั่นและตั้งใจจริง
"พิชิตสุขภาพทางการเงินที่ดีใน 31 วัน" สำหรับบางคนอาจฟังดูเป็นเรื่องที่เข็นครกขึ้นภูเขายังง่ายซะกว่า แต่ลองอ่านแล้วปฏิบัติตามทีละสเต็ป แล้วคุณจะพบว่า แค่ 31 วันคุณก็สามารถเป็นอีกคนหนึ่งที่มีสุขภาพทางการเงินที่ดีได้
Fundamentals จะเป็นเข็มทิศนำทางพาคุณไปสู่ความมั่งคั่งที่เปิดประตูรออยู่ข้างหน้า
***************
นอกเหนือจากสุขภาพกายที่ดีแล้ว สุขภาพทางการเงินที่แข็งแกร่งมั่นคง คงเป็นเรื่องที่ทุกคนใฝ่ฝันอยากจะมี แต่ใช่ว่าทุกๆ คนจะสุขภาพทางการเงินที่ดีกันได้ง่ายๆ ไม่ต้องไปไกลถึงการออมเงินหรอก แค่จะจัดสรรเงินให้พอใช้ในแต่ละเดือนสำหรับบางคนยังยากสิ้นดี
ทั้งที่จริงแล้ว การทำตัวเองให้มีสุขภาพทางการเงินที่ดีไม่ใช่เรื่องยาก ภายใน 31 วันหรือ 1 เดือนคุณก็สามารถเป็นเจ้าของสุขภาพทางการเงินที่ดีได้ ถ้าใจมุ่งมั่นซะอย่าง
Day 1. ประกาศเจตนารมณ์การออม.....
>>>>อ่านต่อดีกว่า<<
สุขภาพทางการเงินของคุณดีแค่ไหน ลองถามตัวเองดู
ถ้าอยากมีสุขภาพทางการเงินที่ดี ก็ให้รู้ไว้เถอะว่า เป็นเรื่องที่ไม่ยากจนไกลเกินเอื้อมหรอก เพราะสุขภาพทางการเงินที่ดีสร้างกันได้ ถ้าคุณมุ่งมั่นและตั้งใจจริง
"พิชิตสุขภาพทางการเงินที่ดีใน 31 วัน" สำหรับบางคนอาจฟังดูเป็นเรื่องที่เข็นครกขึ้นภูเขายังง่ายซะกว่า แต่ลองอ่านแล้วปฏิบัติตามทีละสเต็ป แล้วคุณจะพบว่า แค่ 31 วันคุณก็สามารถเป็นอีกคนหนึ่งที่มีสุขภาพทางการเงินที่ดีได้
Fundamentals จะเป็นเข็มทิศนำทางพาคุณไปสู่ความมั่งคั่งที่เปิดประตูรออยู่ข้างหน้า
***************
นอกเหนือจากสุขภาพกายที่ดีแล้ว สุขภาพทางการเงินที่แข็งแกร่งมั่นคง คงเป็นเรื่องที่ทุกคนใฝ่ฝันอยากจะมี แต่ใช่ว่าทุกๆ คนจะสุขภาพทางการเงินที่ดีกันได้ง่ายๆ ไม่ต้องไปไกลถึงการออมเงินหรอก แค่จะจัดสรรเงินให้พอใช้ในแต่ละเดือนสำหรับบางคนยังยากสิ้นดี
ทั้งที่จริงแล้ว การทำตัวเองให้มีสุขภาพทางการเงินที่ดีไม่ใช่เรื่องยาก ภายใน 31 วันหรือ 1 เดือนคุณก็สามารถเป็นเจ้าของสุขภาพทางการเงินที่ดีได้ ถ้าใจมุ่งมั่นซะอย่าง
Day 1. ประกาศเจตนารมณ์การออม.....
>>>>อ่านต่อดีกว่า<<
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552
เคล็ดลับรวยเร็ววิธีทำธุรกิจที่จะทำให้เงิน 30,000 บาท เพิ่มเป็น 1 ล้านบาทในเวลา 1 ปี
อ่านเอาเป็นแนวคิดในการทำธุรกิจนะครับ
ปรับประยุกต์ให้เหมาะกับความรู้ ความสามารถของตัวเอง และเงินทุนครับ อิอิ เผื่อคุณอาจจะรวยเงินล้านปีนี้ ปีหน้าเด้อ
วิธีทำ
1) เอาเงิน 30000 บาทไปซื้อที่ดินเปล่า 1 ไร่
2) ขุดดินในพื้นที่ 1 ไร่นั้นเอาไปขาย โดยขุดลึก 5 เมตร โดยดำเนินการจ้างผู้รับเหมาวิ่งดินเข้ามาลงรถขุดและวิ่งส่งดินไปถม เราเป็นเจ้าของบ่อขายดินอย่างเดียว
คิดปริมาณดินที่พื้นที่ 1 ไร่มี = 1600 ตรม x ลึก 5 ม. = 8000 ลบม
(ปริมาณดินนี้ประเมินคร่าว ๆ ซึ่งความจริงจะได้น้อยกว่านี้เล็กน้อย เพราะต้องขุดตี slope ขอบบ่อให้เอียงไม่เช่นนั้นบ่อจะถล่ม)
3) รถสิบล้อมีปริมาตรบรรทุกดิน กว้าง x ยาว x สูง = 3 x 6 x 2 = 36 ลบม เราขายดินคันละ 300 บาท
4) เราจะขายดินได้ = (8000/36) x 300 = 66667 บาท คิดเป็นเลขกลม ๆ 60000 บาท เพราะชดเชย 6667 หายไปตรงดินที่ขุดไม่ได้ตรงบริเวณพื้นที่ขอบในข้อ 2)
5) คิดระยะเวลาขุดดิน 1 ไร่ ใช้เวลา 1 อาทิตย์ ดังนั้น 1 อาทิตย์ จ่ายไป 30000 จะได้เงินกลับมา 60000 บาท
6) ย้อนกลับไปทำข้อ 1) ใหม่ เอาเงิน 60000 บาท ซื้อที่ 2 ไร่และขายดิน
ซื้อครั้งที่ 1 จำนวน 1 ไร่ ขุดดินขาย ได้เงินกลับมา 60000
ซื้อครั้งที่ 2 จำนวน 2 ไร่ ขุดดินขาย ได้เงินกลับมา 120000
ซื้อครั้งที่ 3 จำนวน 4 ไร่ ขุดดินขาย ได้เงินกลับมา 240000
ซื้อครั้งที่ 4 จำนวน 8 ไร่ ขุดดินขาย ได้เงินกลับมา 480000
ซื้อครั้งที่ 5 จำนวน 16 ไร่ ขุดดินขาย ได้เงินกลับมา 960000
ซื้อครั้งที่ 6 จำนวน 32 ไร่ ขุดดินขาย ได้เงินกลับมา 1920000
จำนวนไร่ทั้งหมดที่ซื้อ = 1+2+4+8+16+32 = 63 ไร่
ถ้าผู้รับเหมามีรถขุด 1 คัน ขุดได้อาทิตย์ละ 1 ไร่ (ซึ่งนับว่าช้ามาก) จะใช้เวลา 63/4 ประมาณ 16 เดือน
สรุป
เริ่มต้นใช้เงิน 30000 บาท ใช้เวลา 16 เดือน ได้เงินกลับมา 1.92 ล้าน กับที่ดินเปล่า 63 ไร่ที่เป็นบ่อ ซึ่งสามารถต่อยอดโดยการทำบ่อนั้นเป็นบึงตกปลาหรือสร้างรีสอร์ทได้
ทำเสื้อโหล ขายม็อบ (อิอิ หากินกับม็อบ)
1. เงิน 30,000 บาท ไป ทำเสื้อโหล เลือกสีเองก็แล้วกัน ต้นทุนตัวละประมาณ 65 บาท ได้ 500 ตัว
แบกไปขายหน้า ม๊อบ ตัวละ 199 บาท ( ขายให้ม๊อบ อะไรก็แล้วแต่ ถูกที่ถูกเวลา รวยได้ ในเวลารวดเร็ว )ขายหมด ภายใน 2 ชม. ได้เงิน return = 99,500 บาท
2. เดือน ถัดไป นำเงิน 99,500 บาท ไปทำเสื้อโหล อีก 1,500 ตัว แบกไปขาย หน้าม๊อบ
ขายหมด พร้อม lay ได้ return ประมาณ 3 แสน บาท
3. ถ้ามีม๊อบอีกรอบ งานนี้ทำเสื้อ 3,000 ตัว พอ ที่เหลือ ทำ option พวก อุปกรณ์อื่นๆ อาทิ ผ้าโพกหัว สายรัดข้อมือแค่ครั้งที่ 3 ก็ได้ return 995,000 บาท แล้วครับ
ปรับประยุกต์ให้เหมาะกับความรู้ ความสามารถของตัวเอง และเงินทุนครับ อิอิ เผื่อคุณอาจจะรวยเงินล้านปีนี้ ปีหน้าเด้อ
วิธีทำ
1) เอาเงิน 30000 บาทไปซื้อที่ดินเปล่า 1 ไร่
2) ขุดดินในพื้นที่ 1 ไร่นั้นเอาไปขาย โดยขุดลึก 5 เมตร โดยดำเนินการจ้างผู้รับเหมาวิ่งดินเข้ามาลงรถขุดและวิ่งส่งดินไปถม เราเป็นเจ้าของบ่อขายดินอย่างเดียว
คิดปริมาณดินที่พื้นที่ 1 ไร่มี = 1600 ตรม x ลึก 5 ม. = 8000 ลบม
(ปริมาณดินนี้ประเมินคร่าว ๆ ซึ่งความจริงจะได้น้อยกว่านี้เล็กน้อย เพราะต้องขุดตี slope ขอบบ่อให้เอียงไม่เช่นนั้นบ่อจะถล่ม)
3) รถสิบล้อมีปริมาตรบรรทุกดิน กว้าง x ยาว x สูง = 3 x 6 x 2 = 36 ลบม เราขายดินคันละ 300 บาท
4) เราจะขายดินได้ = (8000/36) x 300 = 66667 บาท คิดเป็นเลขกลม ๆ 60000 บาท เพราะชดเชย 6667 หายไปตรงดินที่ขุดไม่ได้ตรงบริเวณพื้นที่ขอบในข้อ 2)
5) คิดระยะเวลาขุดดิน 1 ไร่ ใช้เวลา 1 อาทิตย์ ดังนั้น 1 อาทิตย์ จ่ายไป 30000 จะได้เงินกลับมา 60000 บาท
6) ย้อนกลับไปทำข้อ 1) ใหม่ เอาเงิน 60000 บาท ซื้อที่ 2 ไร่และขายดิน
ซื้อครั้งที่ 1 จำนวน 1 ไร่ ขุดดินขาย ได้เงินกลับมา 60000
ซื้อครั้งที่ 2 จำนวน 2 ไร่ ขุดดินขาย ได้เงินกลับมา 120000
ซื้อครั้งที่ 3 จำนวน 4 ไร่ ขุดดินขาย ได้เงินกลับมา 240000
ซื้อครั้งที่ 4 จำนวน 8 ไร่ ขุดดินขาย ได้เงินกลับมา 480000
ซื้อครั้งที่ 5 จำนวน 16 ไร่ ขุดดินขาย ได้เงินกลับมา 960000
ซื้อครั้งที่ 6 จำนวน 32 ไร่ ขุดดินขาย ได้เงินกลับมา 1920000
จำนวนไร่ทั้งหมดที่ซื้อ = 1+2+4+8+16+32 = 63 ไร่
ถ้าผู้รับเหมามีรถขุด 1 คัน ขุดได้อาทิตย์ละ 1 ไร่ (ซึ่งนับว่าช้ามาก) จะใช้เวลา 63/4 ประมาณ 16 เดือน
สรุป
เริ่มต้นใช้เงิน 30000 บาท ใช้เวลา 16 เดือน ได้เงินกลับมา 1.92 ล้าน กับที่ดินเปล่า 63 ไร่ที่เป็นบ่อ ซึ่งสามารถต่อยอดโดยการทำบ่อนั้นเป็นบึงตกปลาหรือสร้างรีสอร์ทได้
ทำเสื้อโหล ขายม็อบ (อิอิ หากินกับม็อบ)
1. เงิน 30,000 บาท ไป ทำเสื้อโหล เลือกสีเองก็แล้วกัน ต้นทุนตัวละประมาณ 65 บาท ได้ 500 ตัว
แบกไปขายหน้า ม๊อบ ตัวละ 199 บาท ( ขายให้ม๊อบ อะไรก็แล้วแต่ ถูกที่ถูกเวลา รวยได้ ในเวลารวดเร็ว )ขายหมด ภายใน 2 ชม. ได้เงิน return = 99,500 บาท
2. เดือน ถัดไป นำเงิน 99,500 บาท ไปทำเสื้อโหล อีก 1,500 ตัว แบกไปขาย หน้าม๊อบ
ขายหมด พร้อม lay ได้ return ประมาณ 3 แสน บาท
3. ถ้ามีม๊อบอีกรอบ งานนี้ทำเสื้อ 3,000 ตัว พอ ที่เหลือ ทำ option พวก อุปกรณ์อื่นๆ อาทิ ผ้าโพกหัว สายรัดข้อมือแค่ครั้งที่ 3 ก็ได้ return 995,000 บาท แล้วครับ
สาเหตุที่คนจนยิ่งจน คนรวยก็ยิ่งรวยยิ่งขึ้น
สาเหตุที่ทั่วโลกที่คนไม่รวย และไม่พอเพียง
1.เพราะเชื่อในพรหมลิขิตและชะตากรรม
บางคนจนเพราะความคิด ต่อให้ถูกหวยซํก 20 ล้าน แป๊บเดียวเดี๋ยวก็จนเหมือนเดิม (~ไม่เชื่อลองดูข่าวพวกถูกล็อตเตอรี่แล้วจนเหมือนเดิมภายใน 2 ปีดูได้ ) และเชื่อแต่บุญกรรม วาสนา พระเจ้าบันดาลเท่านั้น ทุกอย่างเป็นพรหมลิขิต โทษฟ้าฝน ดูแต่คนอื่นที่รวยแล้วพร่ำเพร่อได้แค่ว่า “ถ้าฉันโชคดีแบบเขาก็คงเรวยไปแล้ว” มัวงอมืองอเท้า และรำพึง “~เป็นไป ตามพระเจ้ากำหนด”
2. อยุ่ในวังวนที่ไม่มีทางออกมาได้
บางคนกลัวที่จะออกมาจากกฏที่ไม่มีทางออกมาได้เพราะไม่มี โอกาส เพราะเขาเกิดมาแบบนั้น เขาจึงขาดโอกาส เช่น ยาม ไม่มสามารถออกมาทำอย่างอื่นได้นอกจากเฝ้า แต่หากขาดคนที่ทำอาชีพนี้ก็คงแย่เหมือนกัน (แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่จะเอามาเถียงกัน เพราะถ้าคุณพูดงี้ ทำไมคุณไม่ไปเป็นยามซะเองล่ะ?)
3. ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง
คนเราถ้าอยู่นิ่งๆ มันไม่มีทางจะมีโอกาสเดินเข้ามาหาหรอก มันต้องเดินเข้าไป หาโอกาส ขายของอยู่ปากซอย มัวแต่รอให้คนเดินออกมาซื้อ แทนที่จะเข็นรถเขาไปขายถึงหน้าบ้าน เพื่อ เปลี่ยนแปลงตัวเอง
ทำไมคนเรามีเวลาเท่ากัน 24 ชม. แต่บิล เกตส์ หรือ คนดังๆของโลกถึงรวยล้นฟ้า เพราะเขากล้าเปลี่ยนแปลงตั้งแต่แรกแล้วแม้ว่าใครจะว่าเขานอกคอกก็ตาม
4. อยากทำแต่งานที่ชอบและุถนัด และรายได้เยอะ
ชอบตีแบด วาดรูป ทำไปเถอะครับ แต่ขอให้มันหาเลี้ยงชีพได้ แบบ อ.เฉลิมชัย หรือ ลีโอนาโด ดาวินชี่ เถอะบางคนคิดว่า หากทำสิ่งที่เราชอบแล้ว สิ่งนั้นจะคุ้มครองเราเอง ซึ่งไม่ผิด แต่ทำไงก็ได้ครับขอให้มันเลี้ยงตัวเองได้เถอะเราหันไปดูพ่อแม่ที่เป็นหมอ ครู วิศวะ เราจะพบว่า แท้จริงเค้าอาจจะไม่ได้ชอบจริงๆก็ได้ แต่รายได้มันดีเขาเลยทำก็แค่นั้น
5. ชอบคิดว่าฉันยุ่งตลอดเวลา ไม่มีเวลากำหนดเป้าหมาย ขออยู่วันๆเถิด
คนบางคนยุ่งตลอดเวลา วันๆชอบคิดว่ายุ่งทั้งวัน แต่รู้ตัวอีกทีก็อุตส่าห์มีเวลาเล่นเกมออนไลน์ หรือทำอะไรไร้สาระเสียแล้ว รู้อีกทีก็ว่างเสียแล้วมัวคิดว่าไม่มีเวลาแม้แต่จะวางแผนว่าชีวิตควรจะทำอย่างไร ก็เหมือนคนที่ขึ้นแทกซี่แต่ไม่บอกจุดหมายกับคนขับตั้งแต่แรกแล้วอยู่ไปวันๆ กินเงินเดือนไปเรื่อยๆ เก็บเงินเป็นก้อนๆ กว่าจะทำอะไรเองก็จะรอให้คนเห็นด้วยทั้งโลก ก็ค่อยลงมือทำ แล้วพอแก่ก็ป่วย แล้วเอาเงินก้อนที่เก็บมารักษา พอไม่หายก็ตายไป
=================================
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคนรวย
1. เงินนั้นชั่วร้าย เงินคือซาตาน และปีศาจ
เงินนั้นไม่ชั่วร้าย แต่ความคิดที่หลงในเงินนั้นแหละคือความชั่วร้าย
คนบางคนคิดว่าความมีทางโลกคือสิ่งที่หนักอึ้ง แต่ตัวเองก็ยังไม่บวชเสียที แต่โทษว่าเงินไม่สำคัญ
คุณไม่มีเงิน จะเอาอะไรมาสร้างวัด แค่สวดมนต์วัดมันจะมีปูนหล่นมาจากฟ้าหรืออย่างไร
ไม่มีเงินคุณจะซื้ออาหารอะไรมาถวายพระ? จะให้กับใครได้?
2. พอเพียง
คนชอบคิดคำว่าพอเพียงแปลว่า ต้องเลี้ยงควายในทุ่งนา สร้างบ่อปลา ทำแปลงผักปลูกเอง แต่แท้จริงแล้ว พอเพียงแปลว่า
“เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ยึดหลักทางสายกลาง ที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัวไปจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศ ให้ดำเนินไปในทางสายกลาง มีความพอเพียง และมีความพร้อมที่จะจัดการต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งจะต้องอาศัยความรอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง ในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอน เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เพียงการประหยัด แต่เป็นการดำเนินชีวิตอย่างสมดุลและยั่งยืน เพื่อให้สามารถอยู่ได้แม้ในโลกโลกาภิวัตน์ที่มีการแข่งขันสูง”
แล้วการพอใจแล้วกับการอยู่ไปวันๆ ให้เป็นภาระำพ่อแม่แล้วก็ตายไป คือพอเพียงจึงเป็นความคิดที่ผิดมหันต์
3. พร่ำบ่นว่าคนรวยเยอะไป น่าจะแบ่งปันบ้าง
คนเหล่านี้หากมีความคิดแค่นี้ กำลังใช้ตรรกะโง่ๆมาคิด เพราะแค่คิดก็จนแล้ว
“หากคนรวยน้อยกว่านี้ คนจนก็ต้องน้อยลงตาม” แล้วมันเกี่ยวกันได้อย่างไร?? หากคนรวยลดนั่นแปลว่าคนจนก็ยิ่งจนหนักไม่ใช่หรือ?
4. รอแต่รัฐอุ้มชู ไม่คิดช่วยตัวเอง
คนที่คิดแบบนี้่ ไม่ต่างอะไรกับ”ภาระ” ประเทศ ซึ่งทำให้ประเทศต้องคอยสูญเสียเงินจำนวนมากเพื่อมาดูแลคนที่วันๆ “งอมืองอเท้า” เหล่านี้ (ไม่นับคนขยันแต่จน) มิฉะนั้นแล้ว รัฐบาลจะชุดไหนชุดไหนมันก็ห่วย อยู่ดี
5. ผมมันโง่ ไม่รวยเหมือนมัน รอชาติหน้าดีกว่า
ขอแสดงความยินดีด้วย เพราะชาตินี้คุณก็โง่เหมือนเดิม และจะชาติไหนคุณก็ไม่รวย เพราะคุณไม่ได้ทำกุศลอะไรเพิ่มได้
=============
1.เพราะเชื่อในพรหมลิขิตและชะตากรรม
บางคนจนเพราะความคิด ต่อให้ถูกหวยซํก 20 ล้าน แป๊บเดียวเดี๋ยวก็จนเหมือนเดิม (~ไม่เชื่อลองดูข่าวพวกถูกล็อตเตอรี่แล้วจนเหมือนเดิมภายใน 2 ปีดูได้ ) และเชื่อแต่บุญกรรม วาสนา พระเจ้าบันดาลเท่านั้น ทุกอย่างเป็นพรหมลิขิต โทษฟ้าฝน ดูแต่คนอื่นที่รวยแล้วพร่ำเพร่อได้แค่ว่า “ถ้าฉันโชคดีแบบเขาก็คงเรวยไปแล้ว” มัวงอมืองอเท้า และรำพึง “~เป็นไป ตามพระเจ้ากำหนด”
2. อยุ่ในวังวนที่ไม่มีทางออกมาได้
บางคนกลัวที่จะออกมาจากกฏที่ไม่มีทางออกมาได้เพราะไม่มี โอกาส เพราะเขาเกิดมาแบบนั้น เขาจึงขาดโอกาส เช่น ยาม ไม่มสามารถออกมาทำอย่างอื่นได้นอกจากเฝ้า แต่หากขาดคนที่ทำอาชีพนี้ก็คงแย่เหมือนกัน (แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่จะเอามาเถียงกัน เพราะถ้าคุณพูดงี้ ทำไมคุณไม่ไปเป็นยามซะเองล่ะ?)
3. ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง
คนเราถ้าอยู่นิ่งๆ มันไม่มีทางจะมีโอกาสเดินเข้ามาหาหรอก มันต้องเดินเข้าไป หาโอกาส ขายของอยู่ปากซอย มัวแต่รอให้คนเดินออกมาซื้อ แทนที่จะเข็นรถเขาไปขายถึงหน้าบ้าน เพื่อ เปลี่ยนแปลงตัวเอง
ทำไมคนเรามีเวลาเท่ากัน 24 ชม. แต่บิล เกตส์ หรือ คนดังๆของโลกถึงรวยล้นฟ้า เพราะเขากล้าเปลี่ยนแปลงตั้งแต่แรกแล้วแม้ว่าใครจะว่าเขานอกคอกก็ตาม
4. อยากทำแต่งานที่ชอบและุถนัด และรายได้เยอะ
ชอบตีแบด วาดรูป ทำไปเถอะครับ แต่ขอให้มันหาเลี้ยงชีพได้ แบบ อ.เฉลิมชัย หรือ ลีโอนาโด ดาวินชี่ เถอะบางคนคิดว่า หากทำสิ่งที่เราชอบแล้ว สิ่งนั้นจะคุ้มครองเราเอง ซึ่งไม่ผิด แต่ทำไงก็ได้ครับขอให้มันเลี้ยงตัวเองได้เถอะเราหันไปดูพ่อแม่ที่เป็นหมอ ครู วิศวะ เราจะพบว่า แท้จริงเค้าอาจจะไม่ได้ชอบจริงๆก็ได้ แต่รายได้มันดีเขาเลยทำก็แค่นั้น
5. ชอบคิดว่าฉันยุ่งตลอดเวลา ไม่มีเวลากำหนดเป้าหมาย ขออยู่วันๆเถิด
คนบางคนยุ่งตลอดเวลา วันๆชอบคิดว่ายุ่งทั้งวัน แต่รู้ตัวอีกทีก็อุตส่าห์มีเวลาเล่นเกมออนไลน์ หรือทำอะไรไร้สาระเสียแล้ว รู้อีกทีก็ว่างเสียแล้วมัวคิดว่าไม่มีเวลาแม้แต่จะวางแผนว่าชีวิตควรจะทำอย่างไร ก็เหมือนคนที่ขึ้นแทกซี่แต่ไม่บอกจุดหมายกับคนขับตั้งแต่แรกแล้วอยู่ไปวันๆ กินเงินเดือนไปเรื่อยๆ เก็บเงินเป็นก้อนๆ กว่าจะทำอะไรเองก็จะรอให้คนเห็นด้วยทั้งโลก ก็ค่อยลงมือทำ แล้วพอแก่ก็ป่วย แล้วเอาเงินก้อนที่เก็บมารักษา พอไม่หายก็ตายไป
=================================
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคนรวย
1. เงินนั้นชั่วร้าย เงินคือซาตาน และปีศาจ
เงินนั้นไม่ชั่วร้าย แต่ความคิดที่หลงในเงินนั้นแหละคือความชั่วร้าย
คนบางคนคิดว่าความมีทางโลกคือสิ่งที่หนักอึ้ง แต่ตัวเองก็ยังไม่บวชเสียที แต่โทษว่าเงินไม่สำคัญ
คุณไม่มีเงิน จะเอาอะไรมาสร้างวัด แค่สวดมนต์วัดมันจะมีปูนหล่นมาจากฟ้าหรืออย่างไร
ไม่มีเงินคุณจะซื้ออาหารอะไรมาถวายพระ? จะให้กับใครได้?
2. พอเพียง
คนชอบคิดคำว่าพอเพียงแปลว่า ต้องเลี้ยงควายในทุ่งนา สร้างบ่อปลา ทำแปลงผักปลูกเอง แต่แท้จริงแล้ว พอเพียงแปลว่า
“เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ยึดหลักทางสายกลาง ที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัวไปจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศ ให้ดำเนินไปในทางสายกลาง มีความพอเพียง และมีความพร้อมที่จะจัดการต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งจะต้องอาศัยความรอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง ในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอน เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เพียงการประหยัด แต่เป็นการดำเนินชีวิตอย่างสมดุลและยั่งยืน เพื่อให้สามารถอยู่ได้แม้ในโลกโลกาภิวัตน์ที่มีการแข่งขันสูง”
แล้วการพอใจแล้วกับการอยู่ไปวันๆ ให้เป็นภาระำพ่อแม่แล้วก็ตายไป คือพอเพียงจึงเป็นความคิดที่ผิดมหันต์
3. พร่ำบ่นว่าคนรวยเยอะไป น่าจะแบ่งปันบ้าง
คนเหล่านี้หากมีความคิดแค่นี้ กำลังใช้ตรรกะโง่ๆมาคิด เพราะแค่คิดก็จนแล้ว
“หากคนรวยน้อยกว่านี้ คนจนก็ต้องน้อยลงตาม” แล้วมันเกี่ยวกันได้อย่างไร?? หากคนรวยลดนั่นแปลว่าคนจนก็ยิ่งจนหนักไม่ใช่หรือ?
4. รอแต่รัฐอุ้มชู ไม่คิดช่วยตัวเอง
คนที่คิดแบบนี้่ ไม่ต่างอะไรกับ”ภาระ” ประเทศ ซึ่งทำให้ประเทศต้องคอยสูญเสียเงินจำนวนมากเพื่อมาดูแลคนที่วันๆ “งอมืองอเท้า” เหล่านี้ (ไม่นับคนขยันแต่จน) มิฉะนั้นแล้ว รัฐบาลจะชุดไหนชุดไหนมันก็ห่วย อยู่ดี
5. ผมมันโง่ ไม่รวยเหมือนมัน รอชาติหน้าดีกว่า
ขอแสดงความยินดีด้วย เพราะชาตินี้คุณก็โง่เหมือนเดิม และจะชาติไหนคุณก็ไม่รวย เพราะคุณไม่ได้ทำกุศลอะไรเพิ่มได้
=============
วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552
เคล็ดลับจัดการเงินออม ช่วงอายุ 35 ถึง 55 ปี
ผมขอนำเรื่องเคล็ดลับการจัดการเงินออมที่ติดค้างไว้มาเล่าต่อนะครับ ท่านคงจำได้ว่าเราได้แบ่งคนออกเป็น 3 กลุ่มอายุ ดังนี้
1. ช่วงอายุเริ่มทำงานถึง 35 ปี
2. ช่วงอายุ 35 ถึง 55 ปี
3. ช่วงอายุ 55 ปีขึ้นไป
ในตอนก่อนหน้านี้ ผมได้ปูพื้นไว้ว่า ท่านผู้อ่านที่อยู่ในวัยเริ่มทำงานจนถึงอายุ 35 ปี โดยทั่วไปจะเป็นช่วงที่ท่านมีรายได้ไม่มากนัก มีค่าใช้จ่ายสูงเมื่อเทียบกับรายได้ ทำให้การออมค่อนข้างลำบาก แต่ผมได้แนะนำไปว่า นอกจากส่วนที่ท่านเก็บออมกับกองทุนประกันสังคมแล้ว หากท่านสามารถเจียดเงินมาออมเพิ่มเติมได้อีกสัก 10% ของรายได้ ก็จะช่วยได้มาก เช่น ท่านที่มีเงินเดือนๆ ละ 20,000 บาท หากออมได้สักเดือนละ 2,000 บาท โดยเริ่มออมเมื่ออายุ 30 ปี และได้ผลตอบแทน 5% ต่อปี ท่านจะมีเงินเก็บประมาณ 1.5 ล้านบาทเมื่อเกษียณ (ที่อายุ 60 ปี) และหากนำเงินก้อนดังกล่าวไปลงทุนแล้วทยอยนำเงินต้น และดอกผลมาใช้ทุกเดือน ท่านจะมีเงิน “บำนาญ” ให้กับตัวเองเดือนละ 10,662 บาท ซึ่งเป็นเงินบำนาญส่วนเพิ่มนอกเหนือจากที่ท่านจะได้รับจากกองทุนประกันสังคม
ผมได้แนะนำด้วยว่า สำหรับท่านที่อยู่ในวัยเริ่มทำงานถึงอายุ 35 ปี ท่านมีระยะเวลาการออมนาน และมีความสามารถรับความเสี่ยงได้มาก จึงควรแบ่งพอร์ตเงินออมเป็น 20% ซื้อหน่วยลงทุนกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตร และ 80% ซื้อหน่วยลงทุนกองทุนที่ลงทุนในหุ้น
คราวนี้เรามาพูดถึงคนที่อยู่ในวัย 35 ถึง 55 ปีบ้างนะครับ
รายได้ และค่าใช้จ่าย ช่วงอายุ 35 ถึง 55 ปี
เมื่อเทียบกับวัยเริ่มทำงาน ท่านที่อยู่ในช่วงอายุ 35 ถึง 55 ปีจัดได้ว่าเป็นกลุ่มที่มีหน้าที่การงานมั่นคงมากขึ้น และมีรายได้มากขึ้น สำหรับท่านที่ครองตัวเป็นโสดจะพบว่า เมื่อเข้าวัยนี้ การจัดการเงินออมเริ่มง่ายขึ้นเพราะท่านมีรายได้มากขึ้นแต่ไม่มีภาระค่าใช้จ่ายมากนัก หากยังไม่มีบ้าน ท่านก็จะสามารถจะเริ่มผ่อนบ้านได้ในช่วงนี้เอง
สำหรับท่านที่มีครอบครัว ถึงแม้ว่ารายได้โดยรวมของครอบครัวจะมากขึ้น เพราะมีคนสองคนช่วยกันทำงานหารายได้ แต่เมื่อมีบุตร ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการดูแลบุตรของท่านจะกลายเป็นรายจ่ายสำคัญของครอบครัว และเป็นรายจ่ายส่วนที่ต้องดูแลให้ดีครับ
เมื่อท่านเข้าสู่ช่วงปลายของวัยทำงาน คืออยู่ในช่วงอายุ 50ถึง 55 ปี รายได้จะยิ่งมากขึ้น ในขณะที่รายจ่ายมีสัดส่วนลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อบุตรของท่านจบการศึกษา และเริ่มทำงาน ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรก็หมดไป การออมยิ่งทำได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ดี การรอคอยไปเก็บออมตอนใกล้เกษียณอาจจะสายเกินไป การออม เพื่อเกษียณจำเป็นต้องเริ่มทำตั้งแต่เริ่มต้นวัยทำงาน เพื่อให้เรามีเวลามากพอในการทำให้เงินงอกเงยครับ
สำหรับการจัดการเงินออมในวัยนี้ ผมแนะนำให้ท่านมีบัญชีเงินออมไม่ต่ำกว่า 4 บัญชี แยกออกจากกัน โดยเรียงลำดับความสำคัญจากมากไปน้อยดังนี้ครับ
1. บัญชีเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน 3 ถึง 6 เท่าของเงินเดือน
ในช่วงที่ท่านยังเป็นโสด เรื่องบัญชีเงินสำรองนี้ก็สำคัญ แต่ยังไม่มากเท่าใด แต่เมื่อมีครอบครัวแล้ว การมีบัญชีเงินสำรองไม่ต่ำกว่า 3 ถึง 6 เท่าของเงินเดือนเป็นเรื่องสำคัญมากครับ
สาเหตุที่เราต้องมีบัญชีเงินสำรองก็เพราะว่า ในบางครั้งเราอาจจะมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงิน ถึงแม้ว่าท่านผู้อ่านที่เป็นผู้ประกันตนจะได้รับความคุ้มครองจากกองทุนประกันสังคมในทุกจังหวะชีวิตที่เดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นการได้รับความคุ้มครองกรณี เจ็บป่วย คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร หรือว่างงาน เป็นต้น ทำให้ไม่ต้องมีภาระทางการเงิน หรือช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงินไปได้บ้าง แต่ในชีวิตคนเรามักจะมีเหตุจำเป็นที่ต้องใช้เงินอยู่บ้าง เช่น ค่าเบี้ยประกันรถยนต์ ค่าซ่อมรถ ค่าซ่อมบ้าน ฯลฯ เราจึงควรมีเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ผมขอแนะนำว่าให้เปิดบัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงินออม แยกต่างหากอีก 1 บัญชี และ หยอดกระปุก สะสมไว้เป็นเงินสำรอง การมีเงินสำรองนี้ช่วยให้เรามีเงินรองรับค่าใช้จ่ายพิเศษต่างๆ ได้โดยที่ไม่ต้องกู้ยืมเงินใครมาใช้ และไม่ทำให้ครอบครัวต้องเดือดร้อนด้วยครับ
จำนวนเงินในบัญชีสำรองนี้จะมีมากน้อยขึ้นอยู่กับความมั่นคงทางการเงิน ท่านที่มีหน้าที่การงานมั่นคง (เช่น รับราชการ หรือเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ) อาจจะสำรองไว้ประมาณ 2-3 เท่าของเงินเดือน ส่วนท่านที่ทำงานเอกชน หรือคาดว่ามีแนวโน้มอาจจะต้องเปลี่ยนงานในอนาคต และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านที่มีภาระการผ่อนบ้านหรือผ่อนรถ ควรจะสำรองไว้ประมาณ 3 – 6 เท่าของเงินเดือน เพื่อให้มั่นใจว่าในช่วงที่ไม่ได้ทำงาน จะยังมีความสามารถในการผ่อนชำระได้อย่างต่อเนื่องครับ
2. บัญชีเงินออม เพื่อการศึกษาของบุตร
ตามที่ผมกล่าวไปแล้วว่า ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการดูแลบุตรนั้นเป็นรายจ่ายสำคัญของครอบครัว และท่านจำเป็นต้องดูแลรายจ่ายส่วนนี้ให้ดี นอกจากการมีบัญชีเงินสำรองแล้ว ท่านจึงควรมีอีกบัญชีหนึ่งที่เตรียมออมเงินไว้ เพื่อการศึกษาของบุตร เพื่อให้มั่นใจว่า ในช่วงที่ท่านอาจจะต้องออกจากงานหรือขาดรายได้ไปชั่วคราว ท่านจะยังสามารถดูแลค่าใช้จ่ายการศึกษาของบุตรได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับจำนวนเงินออมในบัญชีนั้น ท่านอาจจะต้องประเมินไว้ล่วงหน้าว่า ในแต่ละปี ท่านจะมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรเท่าใด ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไม่ได้มีแค่ค่าเทอมเท่านั้น ยังมีเรื่องเครื่องแต่งกาย ค่าตำราเรียน และอุปกรณ์การเรียน ค่าขนม และในบางกรณีที่ต้องย้ายไปเรียนไกลบ้าน อาจจะต้องเตรียมค่าเช่าหอพักด้วย
(อ่านต่อฉบับพรุ่งนี้)
1. ช่วงอายุเริ่มทำงานถึง 35 ปี
2. ช่วงอายุ 35 ถึง 55 ปี
3. ช่วงอายุ 55 ปีขึ้นไป
ในตอนก่อนหน้านี้ ผมได้ปูพื้นไว้ว่า ท่านผู้อ่านที่อยู่ในวัยเริ่มทำงานจนถึงอายุ 35 ปี โดยทั่วไปจะเป็นช่วงที่ท่านมีรายได้ไม่มากนัก มีค่าใช้จ่ายสูงเมื่อเทียบกับรายได้ ทำให้การออมค่อนข้างลำบาก แต่ผมได้แนะนำไปว่า นอกจากส่วนที่ท่านเก็บออมกับกองทุนประกันสังคมแล้ว หากท่านสามารถเจียดเงินมาออมเพิ่มเติมได้อีกสัก 10% ของรายได้ ก็จะช่วยได้มาก เช่น ท่านที่มีเงินเดือนๆ ละ 20,000 บาท หากออมได้สักเดือนละ 2,000 บาท โดยเริ่มออมเมื่ออายุ 30 ปี และได้ผลตอบแทน 5% ต่อปี ท่านจะมีเงินเก็บประมาณ 1.5 ล้านบาทเมื่อเกษียณ (ที่อายุ 60 ปี) และหากนำเงินก้อนดังกล่าวไปลงทุนแล้วทยอยนำเงินต้น และดอกผลมาใช้ทุกเดือน ท่านจะมีเงิน “บำนาญ” ให้กับตัวเองเดือนละ 10,662 บาท ซึ่งเป็นเงินบำนาญส่วนเพิ่มนอกเหนือจากที่ท่านจะได้รับจากกองทุนประกันสังคม
ผมได้แนะนำด้วยว่า สำหรับท่านที่อยู่ในวัยเริ่มทำงานถึงอายุ 35 ปี ท่านมีระยะเวลาการออมนาน และมีความสามารถรับความเสี่ยงได้มาก จึงควรแบ่งพอร์ตเงินออมเป็น 20% ซื้อหน่วยลงทุนกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตร และ 80% ซื้อหน่วยลงทุนกองทุนที่ลงทุนในหุ้น
คราวนี้เรามาพูดถึงคนที่อยู่ในวัย 35 ถึง 55 ปีบ้างนะครับ
รายได้ และค่าใช้จ่าย ช่วงอายุ 35 ถึง 55 ปี
เมื่อเทียบกับวัยเริ่มทำงาน ท่านที่อยู่ในช่วงอายุ 35 ถึง 55 ปีจัดได้ว่าเป็นกลุ่มที่มีหน้าที่การงานมั่นคงมากขึ้น และมีรายได้มากขึ้น สำหรับท่านที่ครองตัวเป็นโสดจะพบว่า เมื่อเข้าวัยนี้ การจัดการเงินออมเริ่มง่ายขึ้นเพราะท่านมีรายได้มากขึ้นแต่ไม่มีภาระค่าใช้จ่ายมากนัก หากยังไม่มีบ้าน ท่านก็จะสามารถจะเริ่มผ่อนบ้านได้ในช่วงนี้เอง
สำหรับท่านที่มีครอบครัว ถึงแม้ว่ารายได้โดยรวมของครอบครัวจะมากขึ้น เพราะมีคนสองคนช่วยกันทำงานหารายได้ แต่เมื่อมีบุตร ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการดูแลบุตรของท่านจะกลายเป็นรายจ่ายสำคัญของครอบครัว และเป็นรายจ่ายส่วนที่ต้องดูแลให้ดีครับ
เมื่อท่านเข้าสู่ช่วงปลายของวัยทำงาน คืออยู่ในช่วงอายุ 50ถึง 55 ปี รายได้จะยิ่งมากขึ้น ในขณะที่รายจ่ายมีสัดส่วนลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อบุตรของท่านจบการศึกษา และเริ่มทำงาน ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรก็หมดไป การออมยิ่งทำได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ดี การรอคอยไปเก็บออมตอนใกล้เกษียณอาจจะสายเกินไป การออม เพื่อเกษียณจำเป็นต้องเริ่มทำตั้งแต่เริ่มต้นวัยทำงาน เพื่อให้เรามีเวลามากพอในการทำให้เงินงอกเงยครับ
สำหรับการจัดการเงินออมในวัยนี้ ผมแนะนำให้ท่านมีบัญชีเงินออมไม่ต่ำกว่า 4 บัญชี แยกออกจากกัน โดยเรียงลำดับความสำคัญจากมากไปน้อยดังนี้ครับ
1. บัญชีเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน 3 ถึง 6 เท่าของเงินเดือน
ในช่วงที่ท่านยังเป็นโสด เรื่องบัญชีเงินสำรองนี้ก็สำคัญ แต่ยังไม่มากเท่าใด แต่เมื่อมีครอบครัวแล้ว การมีบัญชีเงินสำรองไม่ต่ำกว่า 3 ถึง 6 เท่าของเงินเดือนเป็นเรื่องสำคัญมากครับ
สาเหตุที่เราต้องมีบัญชีเงินสำรองก็เพราะว่า ในบางครั้งเราอาจจะมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงิน ถึงแม้ว่าท่านผู้อ่านที่เป็นผู้ประกันตนจะได้รับความคุ้มครองจากกองทุนประกันสังคมในทุกจังหวะชีวิตที่เดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นการได้รับความคุ้มครองกรณี เจ็บป่วย คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร หรือว่างงาน เป็นต้น ทำให้ไม่ต้องมีภาระทางการเงิน หรือช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงินไปได้บ้าง แต่ในชีวิตคนเรามักจะมีเหตุจำเป็นที่ต้องใช้เงินอยู่บ้าง เช่น ค่าเบี้ยประกันรถยนต์ ค่าซ่อมรถ ค่าซ่อมบ้าน ฯลฯ เราจึงควรมีเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ผมขอแนะนำว่าให้เปิดบัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงินออม แยกต่างหากอีก 1 บัญชี และ หยอดกระปุก สะสมไว้เป็นเงินสำรอง การมีเงินสำรองนี้ช่วยให้เรามีเงินรองรับค่าใช้จ่ายพิเศษต่างๆ ได้โดยที่ไม่ต้องกู้ยืมเงินใครมาใช้ และไม่ทำให้ครอบครัวต้องเดือดร้อนด้วยครับ
จำนวนเงินในบัญชีสำรองนี้จะมีมากน้อยขึ้นอยู่กับความมั่นคงทางการเงิน ท่านที่มีหน้าที่การงานมั่นคง (เช่น รับราชการ หรือเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ) อาจจะสำรองไว้ประมาณ 2-3 เท่าของเงินเดือน ส่วนท่านที่ทำงานเอกชน หรือคาดว่ามีแนวโน้มอาจจะต้องเปลี่ยนงานในอนาคต และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านที่มีภาระการผ่อนบ้านหรือผ่อนรถ ควรจะสำรองไว้ประมาณ 3 – 6 เท่าของเงินเดือน เพื่อให้มั่นใจว่าในช่วงที่ไม่ได้ทำงาน จะยังมีความสามารถในการผ่อนชำระได้อย่างต่อเนื่องครับ
2. บัญชีเงินออม เพื่อการศึกษาของบุตร
ตามที่ผมกล่าวไปแล้วว่า ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการดูแลบุตรนั้นเป็นรายจ่ายสำคัญของครอบครัว และท่านจำเป็นต้องดูแลรายจ่ายส่วนนี้ให้ดี นอกจากการมีบัญชีเงินสำรองแล้ว ท่านจึงควรมีอีกบัญชีหนึ่งที่เตรียมออมเงินไว้ เพื่อการศึกษาของบุตร เพื่อให้มั่นใจว่า ในช่วงที่ท่านอาจจะต้องออกจากงานหรือขาดรายได้ไปชั่วคราว ท่านจะยังสามารถดูแลค่าใช้จ่ายการศึกษาของบุตรได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับจำนวนเงินออมในบัญชีนั้น ท่านอาจจะต้องประเมินไว้ล่วงหน้าว่า ในแต่ละปี ท่านจะมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรเท่าใด ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไม่ได้มีแค่ค่าเทอมเท่านั้น ยังมีเรื่องเครื่องแต่งกาย ค่าตำราเรียน และอุปกรณ์การเรียน ค่าขนม และในบางกรณีที่ต้องย้ายไปเรียนไกลบ้าน อาจจะต้องเตรียมค่าเช่าหอพักด้วย
(อ่านต่อฉบับพรุ่งนี้)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)