วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

8 สุดยอดวิธีการทำเงินออนไลน์ในยุคดิจิตอล

วิธีหาเงินออนไลน์ บนโลกไซเบอร์นี้ที่ได้จริงๆ และถูกต้องแน่นอน ว่าคนที่รวยด้วยอินเตอร์เน็ต หรือ หาเงินทางเน็ต เขาทำกันอย่างไรรับรองไม่ใช่พวกขายตรงแน่นอนครับ มีระดับตั้งแต่เดือนละ $1,000 ถึงระดับมืออาชีพคือ หลายแสนดอลล่าร์ต่อเดือน ....มาศึกษาวิธีที่ถูกต้องกันดีกว่า เพื่อจะได้ใช้เวลาที่เล่นเน็ตให้เกิดประโยชน์ครับ


1. สร้างเว็บไซต์ขึ้นมาแล้วก็โปรโมตให้ดังกระฉ่อน อย่างเช่น http://siammoney.net นี่ไงล่ะครับ-: เมื่อดังแล้วเงินก็มาเอง โดยที่นั่ง ๆ นอน ๆ ทำงานวันละไม่กี่ชั่วโมง แต่แน่นอน ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ ช่วงแรกจะเหนื่อยมากถึงมากที่สุดกว่าเว็บไซต์จะดัง ก็มีรายได้จากโฆษณาเดือนระดับหลักหมื่นบาท วิธีนี้มีเทคนิคที่สามารถสร้าง traffic (คนเข้าเว็บไซต์) ให้เว็บไซต์ดังได้ และมีคนเข้าอย่างน้อยระดับ 1,000 คนถึงหลายพันคนต่อวัน ภายใน 2 เดือน เทคนิคนี้มือโปรมากๆเขามักจะรู้กัน

2. สร้างเว็บไซต์ e-commerce สามารถทำได้ทั้งระดับประเทศและระดับสากล ระดับประเทศทำให้สำเร็จง่ายมาก ใช้เวลาทำเดือนสองเดือนก็สร้างยอดขายอัตโนมัติทุกเดือนได้เลยเ(พราะมีการแข่งขันน้อยมาก) จนถึงใช้เวลาทำนานเป็นปีถ้าต้องเปิดตลาดใหม่เพื่อแนะนำสินค้าบริการอันใหม่ให้รู้จักกันทั่วถึง ระดับสากลจะทำยากกว่าแต่ตลาดจะใหญ่มาก รายได้จะมหาศาล รายได้ระดับประเทศก็จะหลายหมื่นถึงหลายแสน ที่ผมเห็นคนไทยทำโดยทั่วไป ส่วนรายได้ระดับสากลระดับห้าแสนถึงหลายสิบล้านต่อเดือน เวลาทำตอนแรกจะต้องเหนื่อยมาก ก่อนที่จะสบายตอนหลังเมื่อระบบการตลาดมันเดินด้วยตัวของมันเอง case study ระดับประเทศเช่น เว็บขายถุงยาง, เว็บชุดชั้นในวาบหวิว ฯลฯ case study ระดับสากลเช่น thaigem, เว็บขายอุปกรณ์มวยไทย ฯลฯ

3. ทำ Ebay หรือ Auction อันนี้มีตัวอย่างความสำเร็จมากมายของคนไทย เป็น power seller กันแยะ ข้อมูลไปดูที่ รายได้ระดับ 40,000 - หลายแสน อาจถึงระดับล้าน(เป็นบางคนนะครับ) ช่วงต้นก็ต้องลำบากมากๆๆๆ เหมือนเคยเพราะต้องทดลองตลาดที่ขายได้จนเจอ(เสีย cost ไปไม่น้อย) ก่อนที่จะสบาย คือเมื่อจับตลาดสินค้าได้แล้ว ก็เป็นแหล่งทองที่สามารถขุดได้เรื่อย ๆ ไปอีกนานเลยทีเดียว

4. ทำ Affiliate program ทั้งด้วยเว็บไซต์และ google adwords รายได้ตรงนี้มีตั้งแต่ระดับ 1,000 ดอลล่าร์ ถึง หลายแสนดอลล่าร์(พวกโครตเซียน ส่วนมากจะเป็นฝรั่ง) affiliate program คือ การหารายได้โดยการที่เป็นตัวแทนไปตกลงกับเจ้าของสินค้าว่าจะแนะนำลูกค้าให้ โดยการทำ link ไปยังเว็บไซต์ของเขา ลูกค้าจะถูก track ด้วย cookie เป็นระยะเวลาช่วงหนึ่ง ๆ (แล้วแต่เงื่อนไขของบริษัทเขา)ถ้าลูกค้าซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ ก็จะได้ค่าคอมมิชชั่นตามที่ตกลงไว้ ตัวอย่างสินค้าที่คุณสามารถเลือกโปรโมตได้มีตั้งแต่สากะเบือยันเรือรบ เป็นสินค้าบริษัทยักษ์ใหญ่มากมายเท่าที่คุณจะนึกออก เช่น ebay, dell, morgan stanley,amazon,adwords ฯลฯ รายละเอียดต่าง ๆ มีมากมาย มีคนสร้างรายได้ด้วยวิธีนี้กันหลายแสนคนทั่วโลก มีระบบการทำและให้คำแนะนำกันมากมาย และแน่นอนทำไม่ง่ายอีกเช่นเคย จะว่าไปถึงขั้นให้สำเร็จยากเลยล่ะ แต่ถ้าทำสำเร็จเมื่อไร รายได้ที่ได้จะ automatic อย่างมากมายทันทีแม้คุณจะนั่งกินนอนกินทั้งปีก็ตาม

5. ทำ Google adsense คือการเข้าร่วมการโฆษณาของกูเกิ้ลในเว็บไซต์ของคุณ โดยที่คุณยอมเสียพื้นที่โฆษณาของคุณให้กูเกิ้ลลง คุณจะได้รายได้เมื่อมีคนคลิ๊ก (ทำได้เฉพาะเว็บภาษาอังกฤษ) โดย google จะเป็นคนจ่ายให้คุณ วิธีนี้มีคนนับล้านคนหารายได้เสริมจากทางนี้ พวกเซียน ๆ (ที่ไม่ใช่บริษัทใหญ่ ๆ แต่เป็นคนทั่วไปแบบเรานี่ล่ะ)มีรายได้สบาย ๆ จากทางนี้ขั้นต่ำเดือนละ 1,000 ดอลล่าร์ถึงหลายหมื่นดอลล่าร์ กันหลายคน วิธีการสร้างเว็บเป็นภาษาอังกฤษเหมือนจะยุ่งยาก แต่มันก็มีเทคนิคการสร้างเช่นกัน ให้เสร็จภายในระยะเวลาไม่นาน โดยมีเนื้อหานับร้อย ๆ หน้า หรือจะไปซื้อจาก ebay ก็มีขายเยอะแยะ แต่ที่ยากคือการโปรโมตให้คนเข้ามาเยอะ ๆ แต่พวกเซียน ๆ ก็มีสารพัดเทคนิคทำสำเร็จภายในไม่กี่เดือน แต่ก็เหมือนเดิม ต้องเหนื่อยมาก ๆ ค่อนข้างยากในตอนแรก ลองดูตัวอย่างได้ที่ http://puritech.blogspot.com/

6. รายได้จาก domain seller จะมีพวกเซียนที่ทำการจดโดเมนสวย ๆ มาขายต่อในราคาแพง พวกนี้เก่งจริง ๆ แล้วมีประสบการณ์ในการรู้มูลค่าของชื่อได้ดี และรู้ระบบการตลาดในการขายที่เยี่ยมยอด ที่ผมเห็นหลายรายจดโดเมนมา $10 ขายต่อไปในราคา $100 – หลายพันดอลล่าร์ บางชื่อระดับหมื่นดอลล่าร์ (อย่างเว็บ Thailand.com ซื้อมาในราคาร้อยล้านบาท) คนที่ทำกันจริงจังมีโดเมนอยู่ในมือนับหลายร้อยชื่อเลยทีเดียว แต่ต้องมีประสบการณ์ไม่งั้นก็อาจเจ๊งได้ง่าย ๆ เช่นกันเพราะต้นทุนเยอะ

7. รายได้จาก parking domain พวกนี้จะไปจดโดเมนดัง ๆ ที่หมดอายุแล้วเจ้าของไม่ต่อ แล้วเอาไป parking คือฝาก dns ไว้ที่ sedo.com เวลามีคนเข้าเว็บมาก็จะเจอหน้า parking ที่มีโฆษณา แล้วก็ได้รายได้เป็น pay per click พวกเซียน ๆ จะมีเป็นร้อยโดเมนเลยทีเดียว สร้างรายได้ให้เขาระดับนับหมื่นดอลล่าร์ต่อเดือนสบาย ๆ โดยวัน ๆ ไม่ต้องทำอะไร และแน่นอนมันก็ไม่ง่ายอีกเช่นกัน แม้แต่ละวันจะมีโดเมนที่หมดอายุนับหมื่นชื่อทุกวัน แต่ก็มีคนพวกนี้ที่มีเครื่องมือชั้นยอดคอยจ้องฉกเว็บชิ้นปลามันไปกินมากมาย

8. รายได้จากการขาย ebook หรือ software (ส่วนมากจะเป็น ebook) พวกนี้จะเขียน ebook ขึ้นมาเล่มนึง แล้วก็ไปเช่าเว็บโฮส เขียน selling killer ads เป็นโฆษณาแบบ sale letter ที่อ่านแล้ว โอ้โห มันยอดมาก สุดยอดอะไรเช่นนี้ ทำให้อยากซื้อมาก ๆ แล้วก็สามารถจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตแล้ว download สินค้าได้ทันทีเลย วิธีนี้สำคัญที่ sale letter ads page กับการโปรโมต ถ้าโปรโมต traffic อย่างถูกวิธี พวกเซียน ๆ อีกเช่นเคย ทำมาจนเซียน อยากหาเงินเมื่อไรก็ได้ เพราะเขาบรรลุวิธีการตลาดหมดแล้ว สามารถโปรโมตอีบุ๊คธรรมดาทั่ว ๆ ไปให้มียอดขายได้ไม่ตำกว่า 300-1000 sale download ราคาต่อเล่มประมาณ $30-$100 มีรายได้ต่อเดือนประมาณ $9,000 ถึง 100,000 ดอลล่าร์ เลยทีเดียว

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งในวิธีการสร้างรายได้ทางอินเตอร์เน็ตที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ตอนนี้ในต่างประเทศ ที่ต้องใช้ความรู้ ความพยายาม และยังมีเทคนิคหรือวิธีการอื่นๆ อีกมาก...ถึงเวลาที่จะสนุนคนไทยให้สามารถสร้างรายได้ออนไลน์ ช่วยกันโกยเงินดอลลาร์เข้ามาประเทศของเรา หรือถ้าใครพอจะรู้วิธีอื่นๆก็สามารถนำมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้นะครับ

วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2553

“โดดเชือก”15 นาที เท่าจ๊อกกิ้งครึ่งชั่วโมง

เล่นได้ไม่จำกัดพื้นที่ เผาผลาญแคลอรีได้เต็มพิกัด เป็นคุณสมบัติเด่นของกีฬา กระโดดเชือก ที่จะขอแนะนำให้คนที่คิดจะออกกำลังแต่ยังติดขัดเรื่องสถานที่กันอยู่ การกระโดดเชือกนั้นสามารถเผาผลาญพลังงานได้ถึงชั่วโมงละ 600 แคลอรีแต่ว่าก่อนจะเริ่มกระโดดเชือกนั้นอย่าลืม "อบอุ่นร่างกาย" เสียก่อน โดยวิธีง่ายๆ เพียงย่ำอยู่กับที่ เดิน หรือกายบริหารสัก 2-3 นาที เพื่อให้กล้ามเนื้อและข้อต่อพร้อมรับการออกกำลังกายที่หนักต่อไป จากนั้นก็ "กระโดด" ๆๆ กันเลยโดดเชือกเป็นกีฬาง่ายๆ แต่ก็ต้องไม่ลืมทำให้ถูกวิธี โดยเริ่มจากการจับด้ามเชือกที่ใกล้กับเชือกมากที่สุด อย่าจับแน่นเกินไป ผ่อนคลายไหล่ แนบข้อศอกกับลำตัว และให้ลำตัวช่วงบนตั้งตรงและนิ่งที่สุด มืออยู่ระดับสะโพก และแกว่งเชือกด้วยแขนช่วงล่างและข้อมือ  ตอนกระโดดก็ควรกระโดดให้สูงเล็กน้อย พอให้เชือกลอดผ่านเท้าไปได้ งอเข่าเล็กน้อยตลอดการกระโดด เพื่อลดแรงกระแทกที่หัวเข่า และข้อเท้าให้น้อยที่สุด

ข้อควรระวังในการกระโดด อย่ากระโดดเร็วจนเกินไป หรือเหม่อลอย อาจทำให้สะดุดกับเชือกและเกิดอุบัติเหตุได้
รศ.ดร.วิชิต คนึงสุขเกษม นายกสมาคมสุขศึกษาพลศึกษา และสันทนาการแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การกระโดดเชือกเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ที่ไม่ต้องใช้พื้นที่มาก และอุปกรณ์น้อย สะดวกต่อการพกพา นอกจากเชือกสำหรับกระโดดแล้วก็มีเพียงชุดกีฬาและรองเท้าเท่านั้นหากกระโดดเชือกติดต่อกัน 15 นาที จะมีผลเสมือนหนึ่งการออกกำลังกายโดยวิ่งจ๊อกกิ้งถึง 30 นาทีเลยทีเดียว
จัดว่าเป็นกีฬาที่น่าสนใจกับการออกกำลังได้ง่ายไม่สิ้นเปลืองเวลาและสถานที่ กระโดดได้ทุกที่แค่มีเชือกเส้นเดียว

พระคาถาอาราธนาพระขึ้นคอทุกเช้า

นะโม (3 จบ)



นะโมพุทธายะ พุทธัง อาราธะนานัง ธัมมัง อาราธะนานัง สังฆัง อาราธะนานัง อะวิสสุนุสสานุตติ นะมะนะอะ นอกอนะกะ กอออนออะ นะอะกะอัง อุทธัง อัทโธ นะโมพุทธายะ นะมะพะธะ จะพะกะสะ พุทธังบังเกิด เปิดโลกพระอะระหัง พุทธังสิทธิ มหาประสิทธิ ธัมมังสิทธิ มหาประสิทธิ สังฆังสิทธิ มหาประสิทธิ

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สมุนไพรอันตราย 13 ชนิดที่มีต่อชีวิตการทำงาน

1 ขิง / ข่า  
ขิง(ก็รา) ข่า(ก็แรง) เป็นอันตรายต่อชีวิตการทำงานอย่างยิ่ง บางครั้งเป็นการกระทบกระทั่งด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เมื่อไม่ยอมกันคนละก้าว ก็เสียทั้งงานและภาพพจน์ขององค์กร
ทางแก้ : การทำงานในสำนักงานไม่ว่าองค์กรราชการหรือเอกชนเป็นการรวมคนจากที่ต่างๆ เข้าด้วยกัน จึงเป็นเรื่องปกติที่มีการกระทบกระทั่งกันระหว่างเพื่อนร่วมงาน รู้จักยอมกันบ้าง ทำนอง 'แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร' นอกจากจะได้ไม่เสียสุขภาพจิตแล้ว ยังได้ประสิทธิภาพของงานสูง 
2 ขมิ้น (กับปูน) 
ไม่ชอบเพื่อน ไม่ชอบเจ้านาย ไม่ชอบหน้าลูกค้า ไม่ชอบงานที่ทำ ไม่ชอบทุกอย่างในชีวิต!
ทางแก้ : ปรับเปลี่ยนทัศนคติมองผู้อื่นในด้านดี หรืออย่างน้อยก็ตามความเป็นจริง มองลูกค้าว่าเป็นผู้ที่ทำให้เราเลี้ยงครอบครัวได้ เพราะการทำงานโดยมีทัศนคติไม่ดียากจะก้าวหน้า และที่แย่ที่สุดคือผ่านชีวิตทำงานแต่ละวันอย่างทรมาน 
3 มะนาว (ไม่มีน้ำ) 
พูดไม่ดี พูดมากไป พูดไม่ไพเราะ พูดแต่เรื่องร้ายๆ เหล่านี้เป็นอันตรายต่อองค์กรอย่างยิ่ง นอกจากจะขัดใจกันในองค์กรแล้ว ยังอาจทำให้ลูกค้าหนีหายก็ได้
ทางแก้ : พูดน้อยหน่อย ทำงานมากหน่อย มองด้านดีของคนอื่นบ้าง 
4 จิก 
เจ้านายประเภทที่ใช้คนไม่เลือกเวลา ชอบบรี๊ฟงานห้านาทีก่อนเลิกงาน โทร.ตามจิกลูกน้องห้านาทีก่อนเที่ยงคืนและในวันหยุดเป็นประจำ
ทางแก้ : การทำงานที่ดีอยู่ที่การวางแผน และรักษาสมดุลของงานกับครอบครัว ลูกน้องที่พักผ่อนพอเพียงและมีชีวิตครอบครัวที่ดี ย่อมทำงานได้ประสิทธิภาพกว่าคนที่ทำงานใต้สภาวะของการจิก การทำงานชั่วโมงยาวนานมิได้หมายถึงประสิทธิภาพและคุณภาพเสมอไป 
5 ว่านหางจระเข้ (ฟาดหาง) 
เจอเรื่องไม่ดีที่บ้านก็นำมาฟาดหาง (จระเข้) กับเพื่อนหรือลูกน้อง หรือทั้งเพื่อนและลูกน้อง
ทางแก้ : แยกแยะงานกับเรื่องส่วนตัว งานส่วนงาน ไม่นำเรื่องส่วนตัวมาปนกับงาน เพราะทุกคนก็ประสบเรื่องไม่ดีทั้งนั้น แก้ปัญหาเรื่องส่วนตัวโดยวิธีการอื่น เช่นปรึกษาเพื่อนฝูง เป็นต้น 
6 (เย็น)ชา 
เย็นชากับลูกค้า ลูกค้าหลุดได้ เย็นชากับลูกน้อง ลูกน้องก็หนี เย็นชากับเจ้านาย ก็อาจตกงาน!
ทางแก้ : รักษาน้ำใจเพื่อนๆ ในที่ทำงาน จะทำให้หลายสิบชั่วโมงต่อสัปดาห์ในที่ทำงานเป็นสวรรค์ ไม่ใช่นรก 
7 สีเสียด
ใช้วาจาเสียดสี เหยียดหยาม กระแทกกระทั้นคนรอบตัวเพื่อความสะใจ ต่อหน้าลูกค้าเอ่ย "ครับๆ ค่ะๆ" ลับหลังลูกค้าด่าว่าโง่ ฯลฯ
ทางแก้ : การใช้คำพูดในเชิงลบไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น ตรงกันข้ามจะทำให้ผู้พูดลดคุณค่าและความน่าเชื่อถือลง ลองมองด้านดีของคนอื่นบ้าง 
8 กระทืบยอด 
เป็นยอดในการย่ำคนอื่น เป็นเยี่ยมในการไต่ขึ้นที่สูงโดยเหยียบหัวเพื่อนร่วมงาน ฯลฯ
ทางแก้ : ไต่ขึ้นที่สูงไปตามพัฒนาการของตนเอง จะเป็นฐานที่แข็งแรงที่สุด 
9 มะขวิด 
ไล่ขวิดคนไปทั่ว ยุ่งเรื่องชาวบ้านโดยไม่ทำงานของตัวเอง 
ทางแก้ : กลับไปทำงาน! เพราะเวลาวัดผลงานในตอนท้าย ไม่ได้วัดกันที่ความคมของเขี้ยว เขา หรืองา 
10 ยอ 
ยกยอเจ้านายตลอดเวลา เสนอหน้าหลังเวลางาน
ทางแก้ : ความก้าวหน้าจากการประจบเอาใจผู้ใหญ่ไม่ใช่รากฐานที่มั่นคงของชีวิตการทำงานในระยะยาว 
11 แมงลัก 
ขโมยไอเดียของคนอื่น แล้วยกว่าเป็นของตัวเอง
ทางแก้ : พัฒนาตนเองตลอดเวลา เรียนรู้จากความคิดของผู้อื่น แล้วนำไปแตกหน่อต่อยอด เป็นการเพิ่มคุณค่าให้ตัวเอง 
12 รางจืด 
ใช้ชีวิตทำงานแบบจืดสนิท ทำงานแบบกางตำรา ไม่เริ่มงานเด็ดขาดแม้เข็มนาฬิกาอยู่ก่อนเวลาเริ่มงาน 1.025 วินาที พนักงานไม่เคยไปสังสรรค์ด้วยกัน ฯลฯ
ทางแก้ : เปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตทำงานบ้าง แล้วอาจพบว่า การทำงานก็เป็นเรื่องสนุกได้ 
13 กระบือเจ็ดตัว 
พอใจในความรู้ความสามารถที่ตนมีอยู่ไม่ว่ามันจะจำกัดเพียงใด ไม่ยอมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
ทางแก้ : ความรู้หรือเทคโนโลยีที่เรียนมาเมื่อ 10-20 ปีก่อนอาจแก้ปัญหารูปแบบใหม่ๆ ในปัจจุบันไม่ได้ โลกเปลี่ยนไปนาทีต่อนาที คนทำงานต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้ทัน ต้องศึกษาเพิ่ม อาจเป็นการเรียนวิชาที่เพิ่งเกิดใหม่ สัมมนาทางวิชาการ ศึกษาภาคค่ำ แทนที่จะหาประสบการณ์จากการกินเหล้าและเข้าผับอย่างเดียว

ดำรงชีวิตให้มีความหมาย

1. ทำสิ่งที่ควรทำ
2. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้ง ไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?
3. เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้
4. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน
5. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุกจากเตียง, แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้า
คนที่เราร่วมงานด้วย...get up, dress up and show up.
6. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
7. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืม ขอบคุณพระเจ้า หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย
8. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอ...ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า?

สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพ

1. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง
2. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย
3. อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
4. อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ ซีเรียส กับคุณเท่าไหร่หรอก
5. อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะ
ทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
6. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ
7. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ม ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็น
ต้องมีแล้ว
8. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของ
อีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ
9. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น
10. ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
11.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง
12. จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร
ซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต
13. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น
14. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกเถียงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่าง

สูตรสุขภาพดี

1. ดื่มน้ำให้มาก 
2. กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชายและเมื่อถึงอาหารเย็น, 
ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, และกลาง ๆ ตอนเที่ยง 
และตกเย็นแล้ว, ทำตัวเป็นยาจก, ไม่มีอะไรจะกิน...สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ) 
3. กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน, พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน 
4. ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ energy หรือพลังงาน, enthusiasm หรือกระตือตือร้น 
และ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ 
5. หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ 
6. เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย 
7. อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา 
8. นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้ 
9. นอนวันละ 7 ชั่วโมง 
10. เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะกวด, ไม่ต้องเครียดกับมัน, 
วันไหนไม่ได้เดิน, ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน 
11. ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม

วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

กินไข่อย่างฉลาด


กินไข่อย่างฉลาด (Front)
การกินไข่ในปริมาณเหมาะสมตามวัยในแต่ละมื้อ ควบคู่กับการออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยลดไขมันส่วนเกิน และควบคุมระดับคอเลสเตอรอลให้เป็นปกติ โดยมีข้อแนะนำดังนี้

เด็กอายุ 1 ปีจนถึงเด็กวัยเรียน ควรบริโภคไข่วันละ 1 ฟอง

ผู้ใหญ่ที่มีภาวะร่างกายปกติ ควรบริโภคไข่ 3-4 ฟองต่อสัปดาห์

คนวัยทำงานสุขภาพดี สามารถบริโภคไข่ได้ทุกวัน ไม่เพิ่มคอเลสเตอรอลและไม่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ

กลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ หรือโรคที่ต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง ก็ควรบริโภคไข่เพียง 1 ฟองต่อสัปดาห์ หรือตามคำแนะนำของแพทย์

ทราบแล้วเปลี่ยน ไข่ไม่ได้เป็นสาเหตหลักของโรคหัวใจและหลอดเลือด

วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ผงเข้าตา - เสือ ธนพล อินทฤทธิ์

อย่าทำลาย..ตัวเองต่อไปอีกเลย

โลกยังมีหนทางให้เธอ
ตื่นขึ้นมาเผชิญ กับความเป็นจริง
จะรู้ว่าไม่ได้มีแต่เธอเท่านั้น..ที่เจ็บ..ที่เสียใจ
* เป็นแค่เพียง ผงที่เข้าตา ไม่ช้าล้างน้ำก็คงหาย
เสียน้ำตาเสียให้มากไป ไม่มีอะไรดีขึ้นมา
อยากให้เธอ ย้อน..คิดตรองดูใหม่
หากเขารักจริง แล้วใยจึงทิ้งเธอไป
หากจะหลอกใคร - ใคร นั้นคงพอได้
แต่หลอกตัวเอง ไม่มีทาง ไม่มีทาง
.. ปล่อยมันไป ..
(ซ้ำ *)
เรื่องมันธรรมดา ก็เป็นอย่างนี้
ไม่มีใครไม่เคยผิดหวัง
ปล่อยให้เป็นวันวาน ที่ผ่านพ้นไป
ไม่มีความหมายให้เธอต้องจำ
( ซ้ำ */*/*)

วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553

ว่านหางจรเข้ สรรพคุณดับพิษร้อน สมานแผล เบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ตับอักเสบ ไข้หวัด หอบหืด ผมร่วงผมจะงอกขึ้นมาใหม่

วิธีใช้ก็คือ เลือกใบที่มีขนาดกว้างประมาณสองนิ้ว (ถ้าไม่มีขนาดที่ต้องการจริงๆ มีขนาดโตแค่ไหนก็ใช้ไปเถอะ) ปลอกเปลือกว่านหางจรเข้ออก แล้วล้างน้ำเอายางสีเหลืองๆ ออกให้หมด แล้วฝานเป็นแผ่นๆ นำไปวางบนบริเวณที่ถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวก ถ้าดับพิษร้อนได้ คนไข้จะรู้สึกเย็นจนไม่รู้สึกปวดแสบปวดร้อน หรือรู้สึกปวดแสบปวดร้อนบ้างแต่น้อยมาก แล้วให้เปลี่ยนวุ้นว่านหางจรเข้เมื่อรู้สึกร้อน ถ้าจะให้ดับพิษร้อนได้ดีขึ้น ควรนำว่านหางจรเข้ที่ฝานเป็นแผ่นๆ ไปแช่ในตู้เย็น แล้วสับเปลี่ยนให้กับคนไข้บ่อยๆ ไปเรื่อยๆ จนคนไข้ไม่ปวดแสบปวดร้อนอีกต่อไป ซึ่งอาจใช้เวลาเป็นวันๆ หรือหลายวันแล้วแต่ความรุนแรง แต่ก็คุ้มที่เนื้อหนังจะไม่ถูกทำลาย แม้ผิวหนังอาจมีรอยดำๆ ย่นๆ แต่ลอกออกมาในไม่ช้า ไม่เชื่อลองดู
สรรพคุณของจากว่านหางจรเข้ นอกจากจะดับพิษร้อนได้ชะงัดนักแล้ว ยังมีสรรพคุณในการรักษาแผลเรื้อรัง เพราะมีสรรพคุณในการเรียกเนื้อ ช่วยสมานแผล แต่ต้องเตรียมวุ้นว่านหางจรเข้ให้สะอาด โดยการล้างว่านหางจรเข้แล้วเช็ดเปลือกว่านหางจรเข้และมีดปลอกด้วยแอลกอฮอล์ใส่แผล ล้างยางสีเหลืองออกให้หมด จากนั้นขูดเอาวุ้นว่านหางจรเข้ ใส่ในแผลที่ล้างสะอาด แล้วจึงปิดแผลไว้ด้วยผ้าก๊อซ สารอัลอคติน(aloctin) จะช่วยให้แผลตื้นและหายเร็วขึ้น เพราะไปกระตุ้นการเกิดใหม่ของเนื้อเยื่อ
ในการรับประทานวุ้นจากว่านหางจรเข้ (ในที่นี้หมายถึง ส่วนที่เป็นวุ้นโดยปลอกเอาเปลือกและยางออกให้หมด) เป็นยาภายใน ท่านที่ปลูกว่านหางจรเข้ไว้มากๆ จะประหยัดเงินค่ายาได้ในหลายๆ โรคทีเดียวซึ่งมีวิธีใช้ในโรคต่างๆ ดังนี้ โรคเบาหวาน ให้รับประทานวุ้นจากใบสดยาวประมาณ สาม ถึงสี่เซนติเมตรทุกวัน จะสามารถลดการใช้ยาเบาหวานได้ โรคความดันโลหิตสูง ตับอักเสบ ไข้หวัด หอบหืด วุ้นจากว่านหางจรเข้ก็ช่วยได้ โดยมีวิธีใช้เช่นเดียวกับโรคเบาหวาน วุ้นจากว่านหางจรเข้ยังแก้เมารถเมาเรือ โดยให้กินวุ้นจากว่านหางจรเข้ ยาวประมาณสองถึงสามเซ็นติเมตร ก่อนออกเดินทาง ส่วนโรคกระเพาะ ลำไส้อักเสบ อาหารไม่ย่อย ให้รับประทานวุ้นจากใบสด วันละสี่เซ็นติเมตร แบ่งรับประทานเป็นสองครั้ง นอกจากที่กล่าวมา วุ้นจากว่านหางจรเข้ยังมีสรรพคุณ เป็นยาบำรุงสุขภาพ ทำให้ร่างกายแข็งแรงสดชื่น มีภูมิต้านทานได้ดีเยี่ยม

หลายท่านอาจจะสงสัยว่า จะรับประทานวุ้นสด หรือวุ้นที่ผ่านการปรุงแต่ง เช่น ว่านหางจรเข้กระป๋อง น้ำว่านหางจรเข้ดี แน่นอนว่าวุ้นว่านหางจรเข้สดต้องดีกว่า แต่ท่านที่ไม่สะดวกในการรับประทานสด ก็รับประทานวุ้นว่าหางจรเข้เหล่านั้นก็ได้ ตำราทำอาหารดั้งเดิมของไทย ก็มีที่ทำวุ้นว่านหางจรเข้เชื่อม หรือแม้แต่ในตำรับยาพื้นบ้านในหลายประเทศ ก็ต้มวุ้นว่านหางจรเข้รับประทาน หรือแม้แต่ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ การสะกัดด้วยน้ำร้อนของวุ้นว่านหางจรเข้ ก็มีฤทธิ์ทางเภสัชในห้องทดลอง เช่น ลดคอเลสเตอรอล เป็นต้น ดังนั้น การที่รับประทานวุ้นว่านหางจรเข้ ที่ผ่านต้มด้วยความร้อนนั้น ก็คงยังมีประโยชน์อยู่บางส่วน แต่สู้รับประทานวุ้นสดๆ ไม่ได้
ในด้านของการเป็นเครื่องสำอาง วุ้นจากว่านหางจรเข้มีสรรพคุณ ในการบำรุงผิว ป้องกันสิวฝ้า รักษาสิวจนเครื่องสำอางมากมายหลายยี่ห้อ จะใส่สารสะกัดจากว่านหางจรเข้ลงไป แต่การใช้วุ้นว่านหางจรเข้ในกับผิวหนังต้องระวังให้ดี ต้องล้างเอาส่วนที่เป็นยางสีเหลืองออกให้หมด หลังการปลอกเปลือกจริงๆ เราเพราะยางสีเหลือง มีฤทธิ์ระคายต่อเนื้อเยื่อ และบางคนอาจแพ้เป็นผื่นได้ วิธีใช้วุ้นจากว่านหางจรเข้ในการบำรุงผิวหน้า รักษาสิว ป้องกันสิวฝ้า ถ้าเป็นวัยรุ่นหน้าค่อนข้างมันก็ใช้วุ้นจากว่านหางจรเข้เป็นรองพื้นก่อนแต่งหน้าไปได้เลย แต่ถ้าสูงอายุขึ้นมาหน่อย ถ้าใช้วุ้นจากว่านหางจรเข้อย่างเดียวหน้าจะตึงไปนิด ให้ผสมครีมทาหน้าสักเล็กน้อย

ว่านหางจรเข้ยังเป็นสมุนไพรที่ดีมากสำหรับเส้นผม สามารถใช้วุ้นว่านหางจรเข้ทาผม แทนเจลใส่ผมทั่วไปได้เลย เพื่อรักษาอาการผมเสีย ผมแตกปลาย ส่วนคนที่ผมเสียมากๆ ไม่มีน้ำหนักแห้งกรอบ ให้ใช้ ไข่แดง น้ำมันมะกอก วุ้นว่านหางจรเข้อย่างละหนึ่งส่วน ใส่น้ำเล็กน้อยปั่นให้เข้ากัน นำไปหมักผมที่เปียกชุ่มด้วยน้ำ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออก สัปดาห์ละครั้ง สักสองครั้งก็เห็นผล วุ้นหางจรเข้ยังใช้ทาบริเวณที่ผมน้อย หรือผมร่วงผมจะงอกขึ้นมาใหม่

ประโยชน์ต่อสุขภาพ ของใบบัวบก

ใครที่ชอบทานใบบัวบกกันบ้าง รู้หรือไม่ว่า ใบบัวบกนั้นมีประโยชน์อะไรบ้าง วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...
ใบบัวบกมีคุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอสูงมาก ช่วยบำรุงสายตาและมีสารแคลเซี่ยมมากเช่นกัน นอกจากนั้นยังมีวิตามินบี 1 สูงกว่าผักหลาย ๆ ชนิด เหมาะกับสุขภาพ
ใบบัวบกมีสรรพคุณทางยา ในการแก้ช้ำใน ทำให้หายฟกช้ำได้ดี แก้ร้อนในกระหายน้ำ ลดอาการปวดศรีษะข้างเดียว บำรุงสุขภาพสมอง แก้ความดันโลหิตสูง แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า บำรุงธาตุ บำรุงหัวใจ และขับปัสสาวะ ช่วยบำรุงสุขภาพได้ดี
นอกจากนี้ในการศึกษาทางเภสัชวิทยาเพื่อค้นหาสารสำคัญ หรือหาสารออกฤทธิ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในใบบัวบก พบว่า ใบบัวบกจะให้สารไกลโคไซด์ (Glycosides) หลายชนิดที่ให้ผลต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Antioxidation) ซึ่งส่งผลให้การลดความเสื่อมของเซลล์ อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้ นอกจากนี้ยังพบว่าสารไกลโคไซด์ที่ได้จากใบบัวบกยังส่งผลในการช่วยดูแลสุขภาพ เร่งการสร้างสารคอลลาเจน (Collagen) ที่เป็นโครงสร้างของผิวจึงถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการกระตุ้นให้แผลสมานตัวได้เร็ว
ผู้ที่ควรทานใบบัวบก ได้แก่
1. ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อโรคความจำเสื่อม อาทิ ผู้สูงอายุ สตรีวัยทอง
2. ผู้ที่อยู่ในวัยทำงานที่ต้องใช้สมองอย่างมาก และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความทรงจำ
3. ผู้ที่มีความเครียดสูงจากการทำงานหนัก
4. ผู้ที่มีความผิดปกติทางผิวหนัง และกล้ามเนื้อโดยมีอาการฟกช้ำ และผิวหนังอักเสบ
5. ผู้ป่วยหลังการผ่าตัด เพราะช่วยเร่งการสมานแผลให้เร็วยิ่งขึ้น
รู้ถึงประโยชน์ของใบบัวบกแล้ว ก็อย่าลืมหันมาหาทานกันได้ เพื่อสุขภาพที่ดี.

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

ขั้นตอน 8 ขั้นสำหรับการเริ่มต้นทำธุรกิจที่บ้าน

ต่อไปนี้ คือ ขั้นตอน 8 ขั้นที่ได้รับการพิสูจน์รับรองแล้วว่าจะเป็นประโยชน์มากสำหรับการเริ่มต้นทำธุรกิจของคุณและดำเนินธุรกิจจนถึงบรรลุความสำเร็จ

ขั้นตอนที่ 1 ทำความรู้จักกับธุรกิจของคุณ ไม่ ว่าคุณจะเลือกทำธุรกิจประเภทใดก็ตาม คุณจะต้องทำความรู้จักกับธุรกิจของคุณให้มากกว่าที่คุณจะรู้จักผู้คนที่คุณ ให้บริการ ถ้าธุรกิจนั้นเป็นสิ่งใหม่สำหรับคุณ คุณจะต้องเรียนรู้กับมันให้มากที่สุด เช่น ถ้าเป็นธุรกิจขายรถ คุณต้องรู้เกี่ยวกับสีของรถ การขัดเงา การเคลือบสี และ อะไหล่ต่าง ๆ และ คุณจะต้องพัฒนาทักษะการขายรถให้มีประสิทธิภาพ คุณจะรู้จักธุรกิจของคุณได้อย่างไร คุณต้องลงมือทำและเรียนรู้จักคู่แข่ง เข้าไปใช้บริการของคู่แข่งและอ่านโฆษณา แล้ววิธีการทำงานของคู่แข่งมาปรับปรุง ค้นหาข้อมูลจากห้องสมุดเกี่ยวกับสมาพันธ์การค้าและจากนิตยสารต่าง ๆ อ่านและเรียนรู้จากมัน ยิ่งคุณรู้มากเท่าไหร่ บริษัทของคุณก็สามารถสร้างผลกำไรได้มากเท่านั้น
ขั้นตอนที่ 2 ทำความรู้จักกับลูกค้าของคุณ ธุรกิจ จะประสบผลสำเร็จเมื่อคุณรู้ว่าความต้องการของลูกค้าคืออะไร และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ บางทีคุณอาจเป็นลูกค้าเสียเอง และสิ่งที่คุณคาดหวังคืออะไร ถ้าคุณไม่ใช้สินค้าหรือบริการนั้นๆ คุณพอจะทราบไหมว่ายังมีใครอื่นอีกที่ขายสินค้าหรือบริการ ลูกค้าคาดหวังอะไร จงค้นหาให้พบว่าใครคือลูกค้าของคุณ ทำไม อย่างไร เมื่อไร เท่าไร และ ข้อเท็จจริงอื่นๆ ยิ่งคุณมีข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้ามากเท่าไหร่คุณก็จะขายสินค้าได้มากเท่านั้น
ขั้นตอนที่ 3 ทำความรู้จักกับกฎหมายธุรกิจ กฎหมาย ธุรกิจที่ส่งเสริมการค้าที่ยุติธรรม และ ส่งเสริมสุขภาพชุมชน ติดต่อกับหน่วยงานรัฐบาลและศึกษาการทำธุรกิจของคุณต้องดำเนินการตามกฎหมาย ประเภทใด ในแต่ละประเทศจะมีกฎหมายบังคับใช้ไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำธุรกิจแบบโฮมบิสิเนส ซึ่งลูกค้าจะต้องมาหาคุณที่บ้าน บางประเทศจะต้องให้ธุรกิจมีใบอนญาตประกอบการ เช่น ใบอนุญาตให้ประกอบการร้านขายอาหาร ซึ่งคุณจะต้องมีการเสียภาษีด้วย เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 4 ทำความรู้จักกับทรัพย์สิน คุณ อาจจะต้องมีหลักทรัพย์ที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจซึ่งบางที่มากกว่าที่คุณคิด เอาไว้เสียอีก คือ นอกจากคุณจะต้องมีทักษะความรู้ความสามารถ สติปัญญา ประสบการณ์และเงินออมจำนวนหนึ่งแล้ว คุณจะต้องมีเวลาด้วย คุณจะต้องทำรายการทรัพย์สิน ตลอดจนถึงเวลาที่คุณใช้ในการทำงาน เมื่อตอนที่เราเริ่มต้นธุรกิจงานเขียนเมื่อหลายปีมาแล้ว ทุก ๆ เช้าเราจะต้องทำงานเขียนก่อนออกไปทำงานตามปกติ และเวลาว่างตอนพักเที่ยงเราก็มีเวลาเขียนเอกสารได้ด้วยเช่นกัน
ขั้นตอนที่ 5 การเพิ่มมูลค่าที่แท้จริง เมื่อ คุณเลือกดำเนินธุรกิจประเภทใดแล้วก็ตาม คุณจะต้องเพิ่มมูลค่าที่แท้จริงให้กับงานบริการของคุณ เช่น งานเลขานุการ คุณอาจจะมีบริการรับส่งเอกสารฟรี หรือ การเป็นคนดูแลสัตว์เลี้ยง คุณอาจใช้เวลาทุกวัน ๆ ละ 1 ชั่วโมงสำหรับการฝึกสัตว์ให้เชื่อฟัง หรือคนทำบัญชีก็อาจจะต้องเตรียมแบบฟอร์มการเสียภาษีให้แก่ลูกค้าที่มีการ เซ็นต์สัญญาจ้างงานเป็นรายปี จงทำให้มากกว่าที่ลูกค้าคาดหวัง และ ทำให้ดีกว่าคู่แข่ง และ ธุรกิจของคุณจะประสบความสำเร็จ
ขั้นตอนที่ 6 รักษาลูกค้าที่ดีไว้ เพราะ ว่าลูกค้าบางคนนั้นคุณจะรู้สึกว่าค้าขายได้ง่ายกว่าลูกค้าบางคน ลูกค้าบางคนเอาใจยาก บางคนก็ลืมจ่ายเงินแก่คุณ เมื่อคุณมองเห็นแล้วว่าลูกค้าแบบไหนน่าจะสร้างกำไรในธุรกิจของคุณได้มากคุณ ก็จะต้องเก็บรักษาที่ดีนั้นไว้ สร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า และคิดดูว่าคุณจะสามารถเสนอบิรการอะไรที่ดี ๆให้แก่ลูกค้าเหล่านั้น และดูว่ายังพอมีเพื่อน ๆ หรือ ญาติอีกบ้างไหมที่คุณจะเสนองขายงานบริการของคุณแก่พวกเขาได้ การรักษาลูกค้าที่ดี ๆ เอาไว้ก็ดีกว่าการเสียเวลากับลูกค้าที่ไม่ช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโต
ขั้นตอนที่ 7 จัดการเงินอย่างชาญฉลาด เมื่อ คุณมีรายได้เข้าร้าน บางทีคุณอาจจะลืมไปว่านั่นไม่ใช่เงินของคุณทั้งหมด แต่คุณจะต้องมีการแบ่งเงินบางส่วนไว้สำหรับค่าใช้จ่ายบางอย่างด้วย เช่น ค่าโทรศัพท์ ค่าวัสดุอุปกรณ์ และ ค่าภาษี สิ่งที่คุณสามารถเก็บเป็นของคุณได้คือ กำไรที่หักค่าใช้จ่ายแล้ว ยิ่งคุณสามารถจัดการด้านการเงินอย่างฉลาดคุณก็จะเหลือผลกำไรมาก เพราะว่าเงินโดยส่วนใหญ่มักจะหลุดมือไปจากคุณเพราะการถูกล่อลวงให้ต้องซื้อ โน่นซื้อนี่อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ ซอฟแวร์หรืออุปกรณ์พิเศษบางอย่าง เป็นไปได้ว่าคุณน่าจะได้จัดทำรายการสิ่งของที่จะต้องซื้อและลงวันที่ที่จะ ซื้อไว้ด้วย ควรจะจดบันทึกไว้ล่วงหน้าอย่างน้อยสัก 30 วันก่อนที่จะซื้อ ซึ่งจะทำให้คุณทราบว่าของที่คุณซื้อมานั้นใช้งานได้คุ้มค่าหรือไม่ ทำกำไรให้คุณได้มากน้อยเท่าไร
ขั้นตอนที่ 8 จงทำให้ดีกว่าเดิม การ ทำให้ดีนั้นเป็นสิ่งดี แต่ไม่ใช่ว่ามันจะคงอยู่ได้ตลอดเวลาน ดังนั้น คุณจะต้องทำให้ดีขึ้น ดีกว่าเดิม ดีกว่าคู่แข่งทางการค้าของคุณ ทำให้ดีกว่าเดือนที่แล้ว ปรับปรุงบริการของคุณ หาความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ ลูกค้า และ กฎหมาย อาจจะด้วยการลงทุนในทรัพย์สินมากขึ้น เพิ่มคุณค่างานบริการให้สูงขึ้น และ เก็บรักษาลูกค้าที่ดีๆ ไว้ และจะต้องจัดการด้านการเงินอย่างชาญฉลาดทุก ๆวัน
คำแนะนำ : ต้องยอบรับว่า ในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น จะต้องขึ้นอยู่กับตัวคุณเป็นหลัก เรามีหน้าที่ในการนำเสนอข้อมูลเท่านั้น การตัดสินใจได้เร็วและถูกต้องของคุณ จะทำให้คุณสามารถเริ่มต้นได้ก่อนใครและจะสามารถประสบความสำเร็จก่อนใคร

บันทึกช่วยจำของ " เหลียงจี้จาง "

ลูกรัก..ที่พ่อเขียนบันทึกช่วยจำฉบับนี้ให้ลูก มีเหตุผลอยู่ 3 ประการ คือ

1. สรรพสิ่งล้วนอนิจัง จะมีชิวิตอยู่ได้อีกนานเท่าใดไม่มีใครบอกได้ พ่อจึงคิดว่า
บางเรื่องพ่อน่าจะสั่งเสียไว้แต่เนิ่นๆ ย่อมจะดีกว่า
2. เพราะพ่อเป็นพ่อของลูก ถ้าพ่อไม่บอกลูก ไม่มีใครหรอกที่เขาจะบอกลูกแบบที่พ่อบอก
3. สิ่งที่พ่อบันทึกไว้นี้ ล้วนเป็นประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดที่พ่อได้เรียนรู้มา
 มันจะทำให้ลูกไม่ต้องเสียเวลาไปเรียนรู้มันอีก
ในชีวิตของลูก ขอให้จำสิ่งต่างๆเหล่านี้ไว้ให้ดี
1. คนที่ไม่ดีต่อเรา ไม่ต้องไปใส่ใจนัก ในชีวิตคนเรา ไม่มีใครมีหน้าที่ที่จะต้องมาดีต่อเรา
ยกเว้นพ่อกับ แม่ของลูก สำหรับคนที่ดีกับลูก นอกจากลูกต้องหวงแหนและขอบคุณเขาแล้ว
ยังต้องคอยระวังตัวไว้ด้วย เพราะคนเราทุกคน ทำอะไรย่อมมีจุดประสงค์ เขาทำดีกับลูก
ใช่ว่าเขาจะทำเพราะชอบลูกเสมอไป ลูกต้องตระหนักจุดนี้ให้ดี อย่าเพิ่งรับเขาเป็นเพื่อนเร็ว
เกินไป (น่ากลัวไหม)
2.ไม่มีคนที่ทดแทนกันไม่ได้ และไม่มีสิ่งใดที่ต้องมีให้ได้ ถ้าเข้าใจจุดนี้ หากวันใด
คนข้างกายของลูกไม่ต้องการลูกอีกต่อไป หรือวันใดที่ลูกต้องเสียสิ่งที่รักที่สุดไป
ลูกจะได้เข้าใจ ว่านี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรเลย
3. ชีวิตนี้แสนสั้น (จะอยู่แค่ไม่เกิน 100 ปีเอง) หากลูกยังใช้ชีวิตอย่างไม่เห็นคุณค่า
พรุ่งนี้ลูกจะพบว่าชีวิตจะ หลุดลอยไปไกลยิ่งขึ้น ดังนั้น ยิ่งรู้จักถนอมชีวิตเร็วเท่าใด
เวลาที่ลูกจะได้รับความสุขจากชีวิตก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น หาความสุขเสียแต่วันนี้
ดีกว่านั่งหวังให้มีอายุยืนนาน
4. ในโลกนี้ไม่มีเรื่องรักนิรันด์กาล ความรักเป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบ โดยความรู้สึกนี้
ย่อมเปลี่ยนไปตาม กาลเวลาและอารมณ์ หากสิ่งที่ลูกรักมากที่สุดจากลูกไป ขอให้รอคอย
อย่างอดทน ให้เวลาช่วยชะล้าง ให้จิตใจค่อยๆ ตกตะกอน แล้วความทุกข์ของลูกจะค่อยๆ
จางหายไป.. อย่าวาดหวังความรักให้สวยเกินไป และอย่าซ้ำเติมการอกหักให้ทุกข์เกินเหตุ
5. แม้ว่าคนหลายคนที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้ไม่ได้เรียนมาสูง แต่ไม่ได้หมายความว่า
หากไม่ขยัน เรียน แล้วจะได้ดี ความรู้คืออาวุธ คนเราอาจสู้แล้วรวย แต่ไม่มีทางรวยได้
หากปราศจากอาวุธสู้.. จำไว้
6. พ่อจะไม่ขอให้ลูกเลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของพ่อ เพราะพ่อก็จะไม่เลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของลูก
เช่นกัน เมื่อ ลูกโตพอจนเป็นอิสระได้แล้ว พ่อก็หมดหน้าที่แล้วเช่นกัน หลังจากนั้นไป
ลูกจะนั่งรถเมล์หรือจะนั่งรถเบ๊นซ์ จะกินหูฉลามหรือจะกินบะหมี่ยำๆ ลูกต้องเลือกเอง
7. ต้องทำดีต่อผู้อื่น แต่อย่าหวังว่าผู้อื่นต้องทำดีต่อเรา เราปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร มิได้หมายความว่าผู้อื่น ก็จะปฏิบัติตอบต่อเราในแบบเดียวกัน.. ลูกต้องเข้าใจในข้อนี้ จะได้ไม่หาทุกข์ใส่ตัวโดยไม่จำเป็น
8. พ่อซื้อล๊อตเตอรี่มาตลอดชีวิต ยังยากจนเหมือนเดิม แม้แต่รางวัลเลขท้ายยังไม่เคยถูกเลย
นี่เป็นบท พิสูจน์ว่า คนเราจะเจริญก้าวหน้าได้ ต้องขยันขันแข็งอย่างเดียวเท่านั้น ในโลกนี้
ไม่มีมื้อเที่ยงที่ไม่ต้อง เสียตังค์ (No free lunch)
9. ญาติ มิตร หรือสหาย ล้วนเป็นกันชาตินี้ชาติเดียว ฉะนั้น จงหวงแหนโอกาสที่ได้อยู่ด้วยกัน
เพราะในชาติหน้า ไม่ว่าท่านจะรักใครหรือชังใคร ท่านก็จะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก
(หมายเหตุ ถึงพบกันก็จะไม่รู้จักกันเพราะจำอดีตชาติไม่ได้ )

วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

พระคาถาเสกขี้ผึ้งสีปาก เสกแป้งผัดหน้า

อิ ธะ คะ มะ จิ เจ รุ นิ
พระคาถาเสกขี้ผึ้งสีปาก เสกแป้งผัดหน้า : เมื่อจะเดินทางไปแห่งหนตำบลใด ต้องการจะเป็นผู้มีเสน่ห์ให้คนรักคนชม จงใช้พระคาถานี้เสกแป้งผัดหน้า หรือเสกขี้ผึ้งทาปาก
เจรจาแต่ถ้อยคำอ่อนหวานไพเราะ ไม่ขัดคอคน จะประสิทธิเมดีนักแล
หรือ
นะ เมตตาโม กรุณา พุทธาปราณี ธายินดี ยะเอ็นดู สัพพะปะสิทธิมัง ปิยัง มะมะ
เสกแป้งผัดหน้ารือน้ำหอมพรมให้ทั่วลูบไล้ใบหน้าและร่างกาย

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วิธีการแก้ชง ในปีขาล จากหลวงพ่อ อติโชติ วัดพุทธไธสวรรค์ จ.อยุธยา

คนที่เกิด เดือน มกราคม - ปล่อยปลส 3 เท่าอายุ (เกิด มค. กลางคืน ถวายบาตร ตาลปัด)
คนที่เกิด เดือน กุมภาพันธ์ - บังสกุลเป็นพร้อมสังฆทาน ผ้าไตรจีวรฯ บาตร หรือ บวชพระ 2 องค์
คนที่เกิด เดือน มีนาคม - ถวายโต๊ะหิน 2 ชุด (วัดใกล้บ้าน)
คนที่เกิด เดือน เมษายน - ปล่อยหอยขม 10 กิโล ถวายผ้าอาบน้ำฝน ไตรจีวร 1 ชุด
คนที่เกิด เดือน พฤษภาคม - ปล่อยปลา 3 เดือน เดือนละ 1 เท่าอายุ , ทำบุญโลงศพ 3 ชุด
คนที่เกิด เดือน มิถุนายน - ถวายผ้าห่อศพ 5 ม้วน , ปิดทองพระพุทธรูป
คนที่เกิด เดือน กรกฎาคม - ถวายพระประจำวันเกิด 3 องค์ พร้อมสังฆทานอาหาร 500 บาทขึ้นไป
คนที่เกิด เดือน สิงหาคม - ถวายอาสนะ 9 ผืนพร้อมกระโถน 9 ใบ
คนที่เกิด เดือน กันยายน - ถวายเครื่องครัว มีด ครก เขียง หม้อ กระทะ เตาแก๊ซ อาหารแห้ง ฯลฯ
คนที่เกิด เดือน ตุลาคม - เลี้ยงเพลพระเท่ากำลังวันเกิดตัวเอง หรือ บวชพระ 3 องค์
คนที่เกิด เดือน พฤศจิกายน - ใส่บาตรดาวพระราหู 12 องค์ ในวันพุธ 12 ครั้ง 
คนที่เกิด เดือน ธันวาคม - ทำบุญกับคนพิการที่ขาด้วยไม้เท้า หรือ องค์การทหารผ่านศึก 
**เน้นเฉพาะคนเกิดปีขาล - ปล่อยปลา 2 เท่าอายุ บวชเณรภาคฤดูร้อน 10-20 องค์ ขึ้นไป หรือถวายชุดแม่ชี 10-20 ชุด
**เน้นเฉพาะคนเกิดปีกุน ถวายบาตร ผ้าไตร ชุดบวชพราหมณ์ผู้ชาย 10-20 ชุด ห้ามนอนหันศรีษะไปทิศเหนือ ถ้าจำเป็นต้องนอน ให้เปลี่ยนผ้าปูที่นอน หรือ ผ้าคลุมเป็นสีแดง
ปี 2553 แขวน มหาปราบ (ผง-เหรียญ) หรือเหรียญเหนือดวง หรือ ตะกรุดจอมคน
*เน้นคนเกิดปีกุน แขวน เหรียญพังพะกาฬ หรือ ตะกรุดเพชรฉลูกรรณ์
**เน้นคนเกิดวันอังคาร แขวนเหรียญเหนือดวง (ทองคำ - กะหลัยทอง) หรือ ปิดตาผง
หมั่นใส่บารต ฝึกจิตภาวนา

เมตรา อภัย อโหสิ อุเบกขา

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เคล็ดลับ เสริมดวง โต๊ะทำงานค่า

ฮวงจุ้ยที่ทำงาน ตามวันเกิด

ฮวงจุ้ยที่ทำงาน ที่ทำงานวุ่นวายมาก งานมีปัญหาบ่อย เจ้านายไม่ค่อยส่งเสริม เพื่อนร่วมงานขี้อิจฉา ให้แก้เคล็ดตามวันเกิดดังต่อไปนี้

คนเกิดวันอาทิตย์
มีปัญหากับเจ้านาย ควรจะเสริมดวงชะตาด้วยน้ำ 1 แก้วใหญ่หรือจะใส่ในแจกันแก้วใส วางไว้บนมุมขวามือ ของโต๊ะทำงาน ห้ามนำไปดื่ม และเทน้ำทิ้งทุกวัน น้ำจะเป็นตัวตกกระทบพลังด้านลบต่างๆ และจะช่วยแก้ไขปัญหาให้ค่อยๆเย็นลงได้
มีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน ควรจะแก้เคล็ดเสริมดวงด้วยการนำต้นไม้ต้นเล็กๆ มาวางบนโต๊ะทำงานหรือชั้นวางของข้างหลังที่นั่ง จะเป็นบอนไซ ตะโกดัด หรืออะไรก็ได้ และควรจะมีดินด้วย แต่อย่าใช้ดินวิทยาศาสตร์
ที่ทำงานวุ่นวายเมื่อมีแต่เรื่องที่ทำให้เครียด ไม่สบายใจ ควรใช้หินโรสควอตซ์สีชมพูตกแต่งเป็นต้นไม้ต้นเล็กๆนำมาวางไว้บนโต๊ะทำงาน ก็จะสามารถ แก้เคล็ดเสริมดวงชะตาให้ดีขึ้นได้เช่นกัน
คนเกิดวันจันทร์
มีปัญหากับเจ้านายควรนำสิ่งของเคริ่องใช้บางอย่างที่ทำด้วยมุก หรือเปลือกหอย ชิ้นขนาดเหมาะมือมาวางบนโต๊ะทำงาน จะเป็นที่ทับกระดาษหรือกล่องใส่นามบัตรก็ได้ จะช่วยขจัดปัญหายุ่งเหยิงออกไปได้
บ้างมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน ให้ใช้หินอความารีนสักก้อนหนึ่งมาวางบนโต๊ะทำงาน หินจะช่วยส่งคลื่นพลังให้คนรอบข้างจิตใจเย็นลง และมองเราในแง่ดี ตัดความวุ่นวาย ยุ่งเหยิงในจิตใจของคุณที่ทำงานวุ่นวาย
หากที่ทำงานมีแต่เรื่องที่ทำให้เครียดไม่สบายใจ ให้ใช้แจกันปากกว้างหรือถ้วยแก้วใสใส่น้ำและลอยดอกไม้ที่มีสีฟ้า น้ำเงิน หรือ ม่วง ใช้เป็นดอกไม้ผ้าหรือพลาสติกก็ได้ จะช่วยบำบัดสถานที่ต่างๆ ให้คนเกิดวันจันทร์สงบลงคลายความเคร่งเครียดวุ่นวายลงได้บ้างไม่มากก็น้อย
คนเกิดวันอังคาร
มีปัญหากับเจ้านายควร ถือเคล็ดด้วยการสวมเสื้อผ้าโทนสีเขียวให้บ่อยครั้ง ให้กลัดเข็มกลัดรูปใบไม้ติดตัวทุกวัน โดยเฉพาะในยามที่ต้องเข้าพบเจ้านายจะช่วยลดการประทะเจ้านาย เชื่อมั่นชื่อถือในความคิดของคุณ
มีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน ให้นำเทียนแท่งที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 นิ้ว ซึ่งเน้นให้มีสีเขียว มาวางบนโต๊ะทำงาน จะขจัดปัญหายุ่งเหยิงขัดแย้งได้มากที่ทำงานวุ่นวายควรใช้หินสีเขียวสดใส เช่น กรีนอเวนเจอรีน มาวางบนโต๊ะทำงาน จะใช้หินก้อนหรือเป็นแท่งๆ ก็ได้ จะช่วยบำบัดสถานที่ต่างๆ ที่วุ่นวายให้สงบลงได้
คนเกิดวันพุธ
มีปัญหากับเจ้านาย ควรถือเคล็ดด้วยการวางข้าวของเครื่องใช้ที่มีปลายแหลมและมีสีทองไว้บนโต๊ะทำงาน จะเป็นนาฬิกาตั้งโต๊ะหรือถ้วยรางวัลอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ได้จะเสริมความเข้มแข็งมั่นคงให้กับสถานภาพการงานของคุณ
มีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน ควรจะใช้ถ้วยแก้วปากกว้าง 1 ใบ ใส่หินอเมทิสต์เอาไว้อย่างน้อย 3-4 ก้อนหรือมากกว่า ช่วยขจัดปัญหาทั้งกับเพื่อนร่วมงานที่อิจฉาริษยา ขัดแย้ง กับคุณไปจนถึงการบำบัดสถานที่ จะช่วยให้ความระส่ำระสายยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นในที่ทำงาน คลายความยุ่งยากลง ผู้คนที่อยุ่ร่วมกันก็มีจิตใจสงบดีขึ้น
คนเกิดวันพฤหัส
มีปัญหากับเจ้านาย ควรนำรูปปั้น เช่น รูปปั้นนางฟ้ามีปีก หรือเทวรูปบางอย่าง เช่น พระพิฆเนศ มาวางบนโต๊ะทำงาน จะช่วยเสริมดวงชะตาให้มั่นคง กล้าแข็ง เจ้านายเกรงอกเกรงใจ
มีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน ควรใช้แจกันดอกไม้สีเหลืองหรือขวดแก้วทรงสูงปักดอกไม้สีเหลือง มาวางบนโต๊ะทำงานหรือชั้นวางของข้างหลังที่นั่ง จะช่วยขจัดปัญหาเรื่องอิจฉาริษยาขัดแย้งกับคุณได้
ที่ทำงานวุ่นวาย ถ้าต้องการการบำบัดสถานที่ทำงานให้คลายความยุ่งยากยุ่งเหยิง ควรจะติดภาพวิวทิวทัศน์ที่มีต้นไม้เขียวสด และมีถนนทอดยาวสุดสายตาเอาไว้เบื้องหลังที่นั่งของคุณ เพื่อเสริมดวงชะตาและแก้ปัญหาด้านนี้
คนเกิดวันศุกร์
มีปัญหากับเจ้านาย ควรพกหินลาพิสลาชูรีติดตัว หรือสวมใส่เป็นเครื่องประดับอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ให้บ่อยครั้งในช่วงนั้น จะเสริมอำนาจบารมี และความเมตตาจากเจ้านายได้
มีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน ควรนำสิ่งของเครื่องใช้อะไรก็ได้ที่มีเสียงเพลงร่วมด้วย มาวางบนโต๊ะทำงาน เช่น วิทยุ กล่องดนตรี หรือการ์ดเสียงเพลง คลื่นพลังของเสียงจะช่วยขจัดความยุ่งเหยิงวุ่นวายต่างๆ รวมทั้งทำให้เราจิตใจเย็นลงอยู่ในความสงบ และมองโลกในแง่ดีขึ้นด้วย วิธีนี้ยังช่วยขจัดปัญหาและความวุ่นวายยุ่งเหยิง ด้านสถานที่ทำงานด้วย
คนเกิดวันเสาร์
มีปัญหากับเจ้านายควรเสริมดวงชะตาด้วยการวางโคมไฟ 1 ดวง ไว้บนโต๊ะทำงาน และเปิดให้มีแสงสว่างอยุ่ตลอดเวลา จะแก้เคล็ดเสริมดวงชะตาที่มีปัญหากับผู้ที่เหนือกว่าได้
มีปัญหากับเพื่อนร่วมงานหากเพื่อนร่วมงานอิจฉาริษายาหรือไม่ลงรอยกันบ่อยครั้ง ควรวางหินคริสตัลควอตซ์ที่เป็นแท่งๆไว้บนโต๊ะทำงานจะเสริมให้จิตใจและอารมณ์เย็นลง เพื่อนร่วมงานเชื่อมั่น เชื่อถือ
ทำงานวุ่นวาย หากต้องการขจัดปัญหายุ่งยากยุ่งเหยิงในที่ทำงานก็ควรใช้น้ำรินน้ำไหล หรือน้ำผุด ขนาดพอดีๆมาวางเสริมในห้องทำงานหรือข้างโต๊ะทำงานของคุณ จะช่วยให้ภายในสถานที่ทำงานเกิดการถ่ายเท เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ไม่วุ่นวายเคร่งเครียดอย่างที่เป็นอยู่

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

นักลงทุน 4 ประเภท

นักลงทุน 4 ประเภท
ตอนนี้ ผู้น้อย ‘มังกรในสระ’ จะกล่าวถึงจุดเริ่มต้นแห่งการสร้างแนวทางการลงทุนที่สอดคล้องกับจุดแข็งและจุดอ่อนสำหรับนักลงทุนแต่ละคนเลยทีเดียว ทว่าต้องขอย้ำอีกครั้งว่า จุดเริ่มต้นที่ว่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อนักลงทุนผู้นั้นตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดแล้วว่าจะเลิกลงทุนแบบจับจดเสียที และจะมุ่งมั่นแสวงหาแนวทางการลงทุนอันเป็นเลิศเฉพาะตนแทน
ขึ้นต้นว่าจะกล่าวถึงการสร้างแนวทางการลงทุนสำหรับนักลงทุนแต่ละคน ฟังดูโอ้อวดอยู่บ้าง เพราะนักลงทุนแต่ละคนต่างก็มีความเป็นปัจเจก มีความแตกต่างในหลากหลายด้านไม่ว่าจะเป็นอายุ เพศ การศึกษา สถานะทางเศรษฐกิจ ทัศนคติ อุปนิสัยใจคอ และอีกสารพัดจะกล่าว แต่ผู้น้อยย่อมพิจารณาดีแล้วจึงกล้ากล่าวเช่นนั้น เนื่องด้วยไม่ว่านักลงทุนแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันมากเพียงใด เนื้อแท้ของแต่ละคนย่อมประกอบด้วย 2 สิ่งร่วมกัน นั่นคือ ‘เงิน’ กับ ‘ความกล้า’ ขาด 2 สิ่งนี้ย่อมเป็นนักลงทุนไม่ได้ หรือ ขาดเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นนักลงทุนไม่ได้เช่นกัน หากมีเงิน แต่ขาดความกล้า ก็เป็นได้เพียงนักออมเงินเท่านั้น หากมีความกล้าแต่ขาดเงิน ก็เป็นได้เพียงนักออมเงินอีกเช่นกัน พร้อมเมื่อไร ค่อยลงทุน แต่ถ้าขาดทั้งเงิน ขาดทั้งความกล้า ก็คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากเป็นนักอุตสาหะ ขยันขันแข็งประกอบสัมมาอาชีพ แสวงหาความรู้และช่องทางในการเพิ่มพูนรายได้โดยสุจริต ดูผู้ที่สู้ชีวิตจนประสบความสำเร็จทั้งหลายเป็นแบบอย่าง พร้อมกับกันตนเองให้พ้นจากอบายมุข นั่นประไร! เผลอหน่อยเดียวเป็นนักเทศน์ไปเสียแล้ว
เข้าเรื่องต่อดีกว่า เมื่อผู้น้อยตัดรายละเอียดปลีกย่อยที่อยู่ในความเป็นปัจเจกของนักลงทุนแต่ละคนออกไปแล้ว ก็เหลือองค์ประกอบพื้นฐานเพียงสองส่วนด้วยกันดังได้กล่าวมาแล้วได้แก่ เงิน ซึ่งหมายถึง เงินออมที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้อย่างน้อยก็ในระยะ 1 ปี และ ความกล้า หมายถึง จิตใจที่พร้อมเผชิญความเสี่ยง หรือ ความสูญเสียที่อาจเกิดจากการลงทุน เมื่อทราบความหมายของทั้งสององค์ประกอบแล้ว คราวนี้ก็สามารถนำมาจัดประเภทนักลงทุนได้อย่างเหมาะสม ซึ่งผู้น้อยพิเคราะห์แล้วเห็นว่าย่อมไม่พ้นไปจาก 4 ประเภทดังต่อไปนี้ 1.ทุนมาก ชอบเสี่ยง 2.ทุนมาก ไม่ชอบเสี่ยง 3.ทุนน้อย ชอบเสี่ยง 4.ทุนน้อย ไม่ชอบเสี่ยง ขอขยายความสักเล็กน้อยว่า การแบ่งว่า ทุนมากหรือทุนน้อยนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่ปริมาณเงินที่สามารถนำไปลงทุนได้เป็นหลัก แต่ขึ้นอยู่กับระยะเวลา หรือ ความเย็นของเงินว่าจะสามารถคงอยู่กับการลงทุนได้นานเพียงใด ส่วนการแบ่งว่าชอบเสี่ยง หรือ ไม่ชอบเสี่ยงนั้นเป็นการแบ่งตามคุณสมบัติพื้นฐานทางด้านจิตใจ หรือ อัธยาศัยของแต่ละบุคคลนั่นเอง
เชิญนายท่านพิจารณารายละเอียดของความเป็นนักลงทุนในแต่ละประเภทดังต่อไปนี้
- ‘ทุนมาก ชอบเสี่ยง’ นักลงทุนประเภทนี้คือผู้ที่มีบ้านเป็นของตนเองโดยปราศจากภาระผ่อนชำระหรือติดจำนอง คือผู้ที่มีสินทรัพย์มากกว่าหนี้สินตั้งแต่ 2 เท่าขึ้นไป คือผู้ที่มีเงินออมที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในช่วงเวลาอย่างน้อย 10 ปี และคือผู้ที่มีรายได้มั่นคงและยั่งยืน ส่วนพื้นฐานจิตใจของนักลงทุนประเภทนี้ย่อมเข้ากันได้ดีกับความมีทุนมาก คือเป็นผู้ชอบเสี่ยง ปรารถนาผลตอบแทนจากการลงทุนที่เหนือกว่าความคาดหมายที่จะได้มาโดยใช้ระยะเวลาอันสั้น ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องรอข้อมูลรอบด้าน และคือผู้ที่มีความกระตือรือร้นที่จะแสวงหาโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ตลอดเวลา
- ‘ทุนมาก ไม่ชอบเสี่ยง’ นักลงทุนประเภทนี้มีคุณสมบัติในส่วนของทุนครบถ้วนเช่นเดียวกับนักลงทุนประเภทแรก แต่อัธยาศัยในการลงทุนย่อมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากนักลงทุนประเภทนี้ชอบความแน่นอนมากกว่าความเสี่ยง ปรารถนาผลตอบแทนจากการลงทุนที่อยู่ในความคาดหมายที่จะได้มาโดยใช้ระยะเวลาอันเหมาะสม ตัดสินใจอย่างรอบคอบรัดกุมโดยอาศัยข้อมูลรอบด้าน และกระตือรือร้นที่จะแสวงหาโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนเมื่อสภาวการณ์ต่างๆเอื้ออำนวย
- ‘ทุนน้อย ชอบเสี่ยง’ นักลงทุนประเภทนี้มีคุณสมบัติในส่วนของทุนไม่ครบถ้วนอย่างนักลงทุนประเทศที่หนึ่งและสอง โดยอาจจะขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ ไม่ขาดแต่ไม่สมบูรณ์เท่า เช่น มีบ้านเป็นของตนเองแต่ติดภาระผ่อนชำระ มีสินทรัพย์สูงไม่ถึง 2 เท่าของหนี้สิน มีเงินออมแต่จำเป็นต้องใช้ภายใน 10 ปี หรือ มีรายได้ที่มั่นคงแต่ไม่ยั่งยืน ขณะที่พื้นฐานทางด้านจิตใจของนักลงทุนประเภทนี้ไม่สอดคล้องกับความมีทุนน้อย เนื่องจากชอบเสี่ยง ปรารถนาผลตอบแทนจากการลงทุนที่เหนือกว่าความคาดหมายที่จะได้มาโดยใช้ระยะเวลาอันสั้น ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องรอข้อมูลรอบด้าน และมีความกระตือรือร้นที่จะแสวงหาโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ตลอดเวลา นักลงทุนประเภทที่สามนี้อาจมีความกล้าหาญพอที่จะกู้เงินเพื่อนำเงินไปเสี่ยงลงทุน ซึ่งก็มีทั้งประสบความสำเร็จและความล้มเหลว
- ‘ทุนน้อย ไม่ชอบเสี่ยง’ นักลงทุนประเภทนี้มีคุณสมบัติในส่วนของทุนเช่นเดียวกับนักลงทุนประเภทที่สาม ทว่ามีพื้นฐานทางด้านจิตใจแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากชอบความแน่นอนเป็นหลัก ปรารถนาผลตอบแทนจากการลงทุนที่อยู่ในความคาดหมายที่จะได้มาโดยใช้ระยะเวลาอันเหมาะสม ตัดสินใจอย่างรอบคอบรัดกุมโดยอาศัยข้อมูลรอบด้าน และกระตือรือร้นที่จะแสวงหาโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนเมื่อสภาวการณ์ต่างๆเอื้ออำนวย นักลงทุนประเภทนี้จะลงทุนเท่าที่ทุนของตนมี ไม่อาจหาญก่อหนี้เพื่อนำเงินไปลงทุนแสวงหาผลตอบแทนที่สูงเกินคาด
เป็นอันจบสำหรับลักษณะของนักลงทุน 4 ประเภท คราวนี้ก็มาถึงจุดเริ่มต้นแห่งการสร้างแนวทางการลงทุนที่สอดคล้องกับจุดแข็งและจุดอ่อน นั่นคือ การวิเคราะห์ตนเองว่า ฐานะทางเศรษฐกิจ พื้นฐานทางด้านจิตใจ ประสบการณ์และความชำนาญเฉพาะตน หรือ พรสวรรค์ที่มีอยู่ น่าจะสอดคล้องกับการเป็นนักลงทุนประเภทใดมากที่สุด ผู้น้อยขอยืนยันว่า นักลงทุนทั้ง 4 ประเภทนี้มีศักยภาพที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน อยู่ที่การตัดสินใจว่าจะเป็นนักลงทุนแบบใดที่จะเข้ากับอัธยาศัยของตนมากที่สุดเท่านั้น ตำราบางเล่มมุ่งที่จะให้นักลงทุนทุกคนเป็นประเภท ‘ทุนมาก ไม่ชอบเสี่ยง’ หรือ ‘ทุนน้อย ไม่ชอบเสี่ยง’ ทว่าผู้น้อยเห็นว่าจะเป็นนักลงทุนประเภทใดก็รวยได้ไม่แพ้กัน ขอเพียงพัฒนาทักษะการรุก รับ ถอยเฉพาะตนให้ชำนาญและสอดคล้องกับตัวตนของตนเองให้มากที่สุดเท่านั้นพอ เริ่มจะออกไปทางปรัชญาสักหน่อย ทว่าก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะนักลงทุนอย่างจอร์จ โซรอส หรือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ต่างก็มีแนวทางการลงทุนของตน ซึ่งก็ทำให้เป็นเศรษฐีระดับโลกได้เหมือนกัน
ส่วนจะรวยมากน้อยกว่ากันเพียงใดนั้นไม่สำคัญ เพราะถ้าเป็นเศรษฐีระดับที่ใช้เงินไม่หมดในชาตินี้ ผู้น้อยก็ถือว่ารวยเท่ากัน คนหนึ่งมุ่งแสวงหาผลตอบแทนจากการเก็งกำไรเมื่อโอกาสมาถึง ขณะที่อีกคนหนึ่งมุ่งแสวงหาผลตอบแทนจากปัจจัยพื้นฐานอันแข็งแกร่งที่คนส่วนใหญ่คลาดสายตา ทว่าผลลัพธ์ที่ออกมาคือ ‘รวยทั้งคู่’ และรวยในระดับที่ใช้เท่าไรก็ไม่หมด จึ่งเป็นดั่งสุภาษิตจีนที่ว่า ‘ไม่ว่าแมวสีใด จับหนูได้เหมือนกัน’ ซึ่งท่านประธาน ‘เติ้ง เสี่ยวผิง’ ผู้ล่วงลับเคยนำมากล่าวเมื่อครั้งนำระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมมาใช้ควบคู่กับระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ (นั่นแนะ!ไม่วายแถมความรู้ประวัติศาสตร์เข้าไปอีก) ดังนั้น ไม่ว่านายท่านจะเป็นนักลงทุนประเภทใด หรือ ตัดสินใจที่จะเป็นนักลงทุนประเภทใด ขอให้เป็นแมวที่จับหนูได้ก็พอ คือ เป็นนักลงทุนที่ประสบชัยชนะอย่างยั่งยืนในตลาดหุ้นไทยนั่นเอง

เมื่อทราบและแน่ใจแล้วว่า ตนเองเป็นนักลงทุนประเภทใด ตอนหน้า ผู้น้อยขอเชิญพบกับการพัฒนากลยุทธ์การลงทุนที่สอดคล้องกับนักลงทุนแต่ละประเภท วอนนายท่านติดตาม สวัสดี........

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เส้นทาง “ไหว้พระ 9 วัด” จังหวัดนครราชสีมา

วัดเทพพิทักษ์ปุณณราม – วัดถ้ำไตรรัตน์ – มูลนิธิสมเด็จพุฒจารย์ (โต พรหมรังสี)
 – วัดธรรมจักรเสมาราม – วัดบ้านไร่ – วัดป่าสาละวัน
– วัดพายัพ – วัดพระนารายณ์มหาราช – วัดศาลาลอย
1. วัดเทพพิทักษ์ปุณณาราม ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
ตั้งอยู่บริเวณเขาสีเสียดอ้า ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา แยกทางหลวงหมายเลข 2 (มาจากกรุงเทพฯ) หลักกิโลเมตรที่ 105 ไปตามทางลาดอีก 3 กม. เป็นวัดที่ประดิษฐาน “พระพุทธสกลสีมามงคล” ซึ่งเป็นชื่อที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ชาวบ้านทั่วไปมักเรียก “หลวงพ่อขาว” หรือ “หลวงพ่อใหญ่” ปัจจุบันมีพระครูพิทักษ์มัชฌิมา เป็นเจ้าอาวาส
หลวงพ่อขาว ตั้งเด่นตระหง่านอยู่บนยอดเขาสูงจากระดับพื้นดิน 112 เมตร มองเห็นได้จากถนนมิตรภาพสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก น้ำหนักรวมทั้งสิ้นประมาณ 3,000 ตัน มีขนาดหน้าตักกว้าง 27.5 เมตร สูง 45 เมตรหรือ 13 วา 2 ศอก 1 คืบ ทางขึ้นไปยังองค์พระพุทธรูปมีบันได 2 ทาง คือทางซ้ายและทางขวาขององค์พระพุทธรูป สร้างโค้งเว้าในบักษณะรูปใบโพธิ์ บันไดทั้งหมด 1,250 ขั้น หมายถึงจำนวนพระอรหันต์ไปชุมนุมกันโดยมิได้นัดหมายในวันมาฆะบูชา พระพุทธรูปประดิษฐานอยู่เหนือพื้นดิน 112 เมตร หรือ 56 หมายถึงพระพุทธคุณ 56 ประการ พระองค์สูง 45 เมตร หมายถึงพระพุทธองค์โปรดเนไวยสัตว์ 45 พรรษา หรือเรียกว่า ทรงทำพุทธกิจอยู่ 45 พรรษา หงัจากที่ตรัสรู้แล้ว
พุทธศาสนิกชน และประชาชนทั่วไป สามารถร่วมทำบุญตักบาตร ในช่วงเทศกาลว่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ได้
2. วัดถ้ำไตรรัตน์ ต.หนองน้ำแดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
ตั้งอยู่บริเวณถนนมิตรภาพ กม.ที่ 161 (ห่างจากฟาร์มโชคชัย 1 กม.) ภายในบริเวณวัด มีถ้ำศักดิ์สิทธิ์เรียกว่า “ถ้ำแก้วสารพัดนึก” (Magic Cave Land) ดินแดนมหัศจรรย์แห่งมนุษย์ถ้ำ 4,000 ปี ในอดีตเคยเป็นสถานที่พำนักของเกจิอาจารย์ดังหลายท่าน อาทิเช่น หลวงปู่ดุลย์ อตุโล, หลวงปู่โชติ คุณสัมปันโน, หลวงพ่อเพิ่ม บารมี โดยแบ่งเป็น 5 โซน คือโซนที่ 1 เรียกว่าถ้ำ “แก้วสารพัดนึก” โซนที่ 2 เรียกว่า “ถ้ำพระพุทธ” โซนที่ 3 ท่านจะได้พบกับ “โครงกระดูกพระฤาษี” โซนที่ 4 เดินทางผ่าน “ประตูมังกร” และโซนที่ 5 เป็น “พิพิธภัณฑ์หินและโรงภาพยนตร์ถ้ำ”
นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมและร่วมทำบุญ หากมาเป็นหมู่คณะ สามารถติดต่อล่วงหน้าได้ที่
โทร. 08 9445 6896, 08 9385 2616, 08 3369 5109
3. มูลนิธิสมเด็จพุฒจารย์ (โต พรหมรังสี) เมตตาบารมี อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา
ตั้งอยู่ริมถนนมิตรภาพ (ขาเข้า) ก่อสร้างโดยคุณสรพงศ์ ชาตรี ประธานกรรมการมูลนิธิ และประชาชนผู้มีจิต ศรัทธา ร่วมกันบริจาคทุนทรัพย์ก่อสร้างบนเนื้อที่ 120 ไร่ รูปเหมือนสมเด็จพุฒจารย์ (โต พรหมรังสี) นับว่าเป็นรูปหล่อที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดหน้าตักกว้าง 8 เมตร 1 นิ้ว สูง 13 เมตร หนัก 31 ตัน ขณะนี้ดำเนินการก่อสร้างยอดมณฑปครอบองค์หลวงพ่อ และได้จัดสร้างมหาวิหารเป็นแบบกุฎาคาร (เรือนยอดเจดีย์เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูป) และศาลาทานบารมี มีการจัดภูมิทัศน์ส่วนต่างๆ ตามความเหมาะสม เช่น สระน้ำ สวนหิน สวนต้นไม้ ที่สวยงามไว้รองรับ ที่นี่ยังมีโรงทานไว้สำหรับผู้มาทำบุญด้วย
นักท่องเที่ยวสามารถมากราบนมัสการหลวงพ่อโต ได้ตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น.
ติดต่อคุณสรพงศ์ ชาตรี และคุณดวงเดือน จิไธสงค์ โทร. 08 1911 0626
4. วัดธรรมจักรเสมาราม บ้านคลองขวาง ม.3 ต.เสมา อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา
อยู่ห่างจากตัว อ.สูงเนิน ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 5 กม. ณ วัดแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ หรือพระนอนหินทราย เป็นพระพุทธรูปสร้างขึ้นในสมัยทวาราวดี มีอายุประมาณ 1,200 ปี สร้างขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 13 โดยนำหินทรายขนาดใหญ่หลายๆ ก้อนมาประกบเข้าด้วยกัน มีความยาว 13.30 เมตร สูง 2.80 เมตร หันเศียรไปทางทิศใต้ พระพักตร์ค่อนข้างเหลี่ยม พระขนงสลักเป็รสันนูนรูปปีกกา พระเนตรเหลือบลงต่ำ พระนาสิกค่อนข้างกว้าง ทรงแย้มพระสรวล มุมพระโอษชี้ขึ้น ขมวดพระเกศาเป็นรูปก้นหอย ด้านหลังพระเศียรเป็นเพียงรอยสลักหินไว้อย่างคร่าวๆ ส่วนพระศอเป็นหินทรายก่อนหนึ่งเป็นรูปกลมหนา 36 ซม. เส้นผ่าศูนย์กลาง 90 ซม. ภายหลังการขุดแต่งได้พบพระศอเพิ่มขึ้นอีกชิ้นหนึ่ง ตกอยู่ด้านหน้าพระพักจร์ จึงได้นำมาต่อเป็นรูปเดิม พระหัตถ์ขวารองอยู่ใต้พระเศียร คลองจีวรห่มคลุมปลายพระบาทเสมอกัน พระพุทธองค์ประดิษฐานอยู่ในอาคารกิ่อิฐรูปสี่เหลี่ยมพืนผ้า
ภายในวัดยังมีพระธรรมจักรที่สร้างขึ้นด้วยศิลปะทวาราวดี ที่พบเป็นธรรมจักรแบบทึบ คือแกะสลักให้เป็นรูปซี่กงล้อเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.41 เมตร ตรงแกนกลางกว้าง 31 ซม. ตอนล่างของธรรมจักรมีลายสลักเป็นรูปหัวสิงห์ ซึ่งลายเช่นนี้ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะศรีวิชัย
นักท่องเที่ยวสามารถเข้านมัสการและร่วมทำบุญปีใหม่ ติดต่อที่ โทร. 08 9946 0146
5. วัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา
ถือเป็นวัดที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วไป ด้วยเป็นวัดที่มีสุดยิดเกจิอาจารย์แห่งยุคเป็นเจ้าอาวาส คือพระเทพวิทยาคม หรือ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ นอกจากจะเลื่องชื่อในพุทธคุณของท่านหลวงพ่อคูณแล้ว ยังมีโบสถ์ที่สวยงาม ทั้งในเรื่องของวัสดุ ลวดลายแกะสลัก และประโยชน์ต่อการใช้สอย ที่เป็นทั้งโบสถ์และศาลาการเปรียญในศาสนสถานเดียวกัน
นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามากราบนมัสการหลวงพ่อคูณ และร่วมทำบุญตักบาตรในช่วงปีใหม่ร่วมกับชาวบ้าน และรัพรหลวงพ่อคูณ ติดต่อได้ที่ โทร. 0 4425 3113, 08 6871 6764 (คุณบรรจบ ศิลปชัย)
6. วัดป่าสาละวัน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา
อยู่หลังสถานีรถไฟนครราชสีมา ใกล้ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดนครราชสีมา เป็นวัดเก่าแก่ และมีบูรพาจารย์เจดีย์ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และเป็นที่เก็บอัฐิของบูรพาจารย์ทั้ง 5 อันได้แก่ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต, หลวงปู่เสาร์, หลวงปู่สิงห์, พระอาจารย์พร และหลวงพ่อพุทธ ฐานิโย
วันที่ 6 – 8 กุมภาพันธ์ ของทุกปี จะมีการจัดงานปฏิบัติธรรมบำเพ็ญกุศลถวายหลวงพ่อพุทธ ฐานิโย เนื่องในโอกาสครบรอบวันเกิด ณ วัดวะภูแก้ว อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา สนใจรายละเอียดติดต่อ ดร. ดาราวรรณ โทร 08 1120 2554
วันที่ 14 – 16 พฤษภาคม ของทุกปี มีการจัดงานปฏิบัติธรรมบำเพ็ญกุศลถวายหลวงพ่อพุทธ ฐานิโย เนื่องในโอกาสครบรอบวันมรณภาพ สนใจรายละเอียดติดต่อ สำนักงานวัดป่าสาลวัน โทร. 0 4425 4402
วันที่ 30 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม ของทุกปี การจัดงานปฏิบัติธรรมบำเพ็ญกุศลถวายแด่พระบูรพาจารย์ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต, พระอาจารย์เสาร์, พระอาจารย์สิงห์, พระอาจารย์พร และหลวงพ่อพุทธ ฐานิโย ซึ่งมีพระสงฆ์จำนวนมากมาร่วมในงาน สนใจรายละเอียดติดต่อ สำนักงานวัดป่าสาลวัน โทร. 04425 4402
7. วัดพายัพ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา
เป็นวัดเก่าแก่แห่งหนึ่ง สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่บริเวณถนนชุมพล-พลแสน ก่อตั้งเมื่อง พ.ศ. 2200 ไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นผู้สร้าง ต่อมาเมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงสร้างเมืองนครราชสีมาเสร็จ จึงได้ทรงบูรณะวัดที่อยู่ในกำแพงเมืองนครราชสีมาที่มีอยู่ทั้ง 6 วัด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือวัดพายัพ ปัจจุบันวัดพายัพ นอกจากจะมีอาคารเสนาสนะและพระพุทธรูปปางต่างๆ มากมายแล้วนั้น ยังมีถ้ำจำลองไว้ภายในวัดอีกด้วย โดยนำหินงอก หินย้อย ซึ่งหักพังจากที่อื่นๆ มาประดับให้ใกล้เคียงกับถ้ำจริงได้อย่างงกงาม จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดนครราชสีมา มีพระราชวิมลโมลี เป็นเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน
8. วัดพระนารายณ์มหาราช ถ.จอมพล อ.เมือง จ.นครราชสีมา
เป็นวัดเก่าแก่แห่งหนึ่ง สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2199 เป็นวัดที่อยู่กลางเมือง จึงมีชื่อว่าวัดกลาง ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2487 ได้รับพระราชทานยกขึ้นเป็นพระอารามหลวง มีนามเต็มว่าวัดกลางวรวิหาร ต่อมาปี พ.ศ. 2491 วัดได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า วัดพระนารายณ์มหาราช วัดนี้เคยเป็นที่กระทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา และเคยเป็นที่ตั้งอนุสาวรีย์บรรจุอัฐิของท้าวสุรนารีย์ มีพระธรรมวรนายก เป็นเจ้าอาวาสและเป็นเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา
บริเวณใกล้เคียงวัด มีศาลพระนารายณ์ ภายในศาลมีเทวรูป 3 องค์คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพิฆเนศวร และเทวรูปอื่นๆ อีกหลายองค์ แต่ชาวเมืองเรียกว่า พระนารายณ์ พระนเรศ พระคเณศ เทวรูปทั้ง 3 องค์นี้ เป็นที่เคารพสักการะบูชาของชาวเมืองนครราชสีมา
9. วัดศาลาลอย ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา
เป็นวัดเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดนครราชสีมา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวเมือง มีทางเข้าจากถนนรอบเมืองเข้าไปประมาณ 500 เมตร อยู่ติดกับลำตะคอง ซึ่งไหลลงสู่แม่น้ำมูล ท้าวสุรนารีกับท่านปลัดสามสร้างขึ้นเมือปี พ.ศ. 2370 ปัจจุบันได้ปรับปรุงพระอุโบสถจนมีความงดงามแปลกตา เป็นลักษณะศิลปะประยุกต์ สร้างเป็นรูปสำเภาโต้คลื่น ใช้วัสดุพื้นเมืองคือใช้กระเบื้องดินเผาด่านเกวียน ด้านหน้าพระอุโบสถเป็นสระน้ำ มีศาลากลางสระน้ำ มีรูปปูนปั้นคุณหญิงโมนั่งพนมมือ สำหรับกำแพงแก้วเป็นรูปเสมา สัญลักษณ์ ของเมืองเสมาเดิม เป็นที่ประดิษฐานอัฐิของท้าวสรุนารี

วิธีทำบุญ ได้บุญ แบบไม่ต้องใช้เงิน

ขอเสนอแนะ ๙ วิธีทำดี ได้บุญ แบบไม่ต้องใช้เงิน เพื่อเป็นแนวทางให้ท่านได้สะสมกุศลให้เพิ่มพูนขึ้น ดังต่อไปนี้

๑. ตื่นเช้าขึ้นมาก็คิดแต่สิ่งดีๆ ทันทีที่ตื่นนอน หากเราคิดถึงแต่สิ่งที่ดีที่งาม ก็จะทำให้เราสดชื่นกระตือรือร้น พร้อมที่จะรับมือกับชีวิตประจำวันด้วยความรื่นเริง ไม่หงุดหงิด โมโห แค่นี้ นอกจากเราจะมีความสุขแล้วคนรอบข้างเราก็มีความสุขไปด้วย ถือว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง
๒. ยิ้มแย้มแจ่มใส ในแต่ละวัน หากเราจะรู้จักยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ว่าจะยิ้มกับคนรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม หน้าตาของเราก็จะดูเป็นมิตร ทำให้คนอยากเข้าใกล้
๓. ทักทาย โอปราศรัย คนบางคน นอกจากจะไม่ยิ้มกับใครแล้ว ยังชอบทำหน้าบึ้งตึงไม่คิดจะพูดจาทักทายใครด้วย ซึ่งถ้าเกิดทำงานด้านบริการ คนมาติดต่อคงรู้สึกเกร็งและกังวล ตลอดว่าจะถูกเอ็ดตะโรเมื่อไรก็ไม่รู้ ดังนั้น นอกจากยิ้มแย้มแจ่มใสแล้ว เราก็ควรจะเอื้อนเอ่ยวาจาทักทายผู้มารับบริการก่อน การทักทายปราศรัยกับผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นผู้มาขอรับบริการ เพื่อนฝูงคนรู้จัก จะทำให้เขารู้สึกเป็นมิตร และอบอุ่นใจ ทำให้บรรยากาศในที่นั้นๆ ดีขึ้น
>>อ่านต่อ<<

วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

แหวนเสริมดวง

แหวนเสริมดวง

- เลือกสวมแหวนที่ถูกโฉลกกับเดือนเกิดหรือวันเกิดเพื่อเสริมโชคดีให้ชีวิต
- ถ้าอยากเสริมดวงการเงิน - ควรสวมแหวนทอง, แหวนเงิน, แหวนหยก และแหวนหัวพลอยสีที่ถูโฉลก
- ถ้าอยากเสริมดวงความรัก-ให้สวมแหวนรูปหัวใจ, รูปดาว, แหวนเพชร, เทอร์ควอยส์ก็ได้
- ส่วนแหวนลูกปัดและหินสีต่างๆ จะช่วยเสริมดวงเสน่ห์
การสวมแหวน
- สวมแหวนนิ้วกลาง ข้างขวา - เสริมดวงการเงินและบารมี
- สวมแหวนนิ้วนาง หรือ นิ้วก้อย - เสริมเสน่ห์และเสริมดวงความรัก
เทคนิคการใส่แหวนให้โชคดี
- ถ้าอยากให้มีความรักมั่นคง ต้องสวมแหวนที่ตรงหัวใจ คือนิ้วนางข้างขวา
- ถ้าอยากให้โชคดีเรื่องความรัก ต้องสวมแหวนที่นิ้วก้อยข้างซ้าย
- ถ้าอยากให้คนนั้นสนใจต้องสวมแหวนที่นิ้วชี้ข้างขวา
- ถ้าอยากให้โชคดีมีความราบรื่นในเรื่องต่างๆ ต้องสวมแหวนที่นิ้วนางข้างขวา
- ถ้าอยากให้ปลอดภัยจากสิ่งชั่วร้าย ต้องสวมแหวนที่นิ้วกลางข้างขวา
- ถ้าอยากให้โชคดีในเรื่องการเงิน ต้องสวมแหวนที่นิ้วกลางข้างขวา
- ถ้าอยากมีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร ต้องสวมแหวนที่นิ้วก้อยข้างขวา
- ถ้าอยากมีคนชอบมากๆ ต้องสวมแหวนที่นิ้วหัวแม่มือข้างขวาหรือซ้ายก็ใด้

วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553

เมื่อลืมแก้บน

เมื่อวันวิสาขบูชาที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๓๓ หลวงพ่อได้เตือนผู้ที่เคยบนไว้ แต่ลืมแก้บนและจำไม่ได้ว่าบนอะไรไว้บ้าง ให้จัดของแก้บนดังนี้

๑. บายศรีปากชาม ๗ ชั้น
๒. ข้าวปากหม้อ
๓. ไก่ต้ม ๑ ตัว
๔. หัวหมู ๑ หัว
ท่านให้ปูผ้าขาวตั้งเครื่องสังเวยเหล่านี้บนโต๊ะกลางแจ้ง จุดธูปเทียนอธิษฐาน ขอให้ท่านผู้มีพระคุณได้โปรดรับเครื่องสังเวยที่ข้าพเจ้าได้เคยบนไว้ และขอให้อดโทษแก่ข้าพเจ้าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเถิด

วิธีละความโกรธ..

ความโกรธเมื่อเกิดขึ้นแก่ผู้ใด ทำให้จิตของคนนั้นเร่าร้อน เป็นทุกข์ ไม่สบายใจ นอนไม่หลับ ฝันร้าย ถ้าโกรธมากๆ อาจทำให้ต้องไปฆ่าผู้อื่น ติดคุกติดตารางเป็นทุกข์ทั้งแก่ตัวเอง ทั้งแก่ผู้อื่น จะเจริญเมตตาจิตก็ลำบาก เพราะเมื่อเจริญไปแก่ผู้ที่เราโกรธอยู่ ก็เจริญไม่ขึ้น แต่ถ้าเราละความโกรธได้ เราก็สุข ดังพระบาลีว่า " โกธํ ฆตฺวา สุขํ เสสีติ " แปลว่า " ฆ่าความโกรธได้แล้วย่อมอยู่เป็นสุข " ฉะนั้น อาตมาจะได้นำวิธีละความโกรธที่ท่านแสดงไว้ใน " คัมภีร์วิสุทธิมรรค " มาแนะนำท่านผู้อ่าน มีถึง ๙ วิธี

๑. ระลึกถึงโทษของความโกรธ
บุคคลผู้มักโกรธนี้ ถูกความโกรธครอบงำแล้ว โกรธเต็มประดา ย่อมประพฤติชั่วด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ครั้นประพฤติชั่วด้วยกายวาจาใจแล้ว ย่อมเดือดร้อนในโลกนี้ ตายไปแล้วย่อมเกิดในอบายภูมิทั้ง ๔ ภูมิ หรือเราจะระลึกถึงโอวาทที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เช่นว่า " ผู้ใดโกรธตอบผู้ที่โกรธ ( ก่อน ) เพราะเหตุที่โกรธตอบนั้น ผู้นั้นกลับเลวกว่าผู้ที่โกรธ ( ก่อน ) นั้นเสียอีก ผู้ไม่โกรธตอบผู้โกรธ ( ก่อน ) ซึ่งว่าชนะสงครามที่ชนะได้ยาก ผู้ใดรู้ว่าผู้อื่นโกรธขึ้นมาแล้วสติระงับใจเสียได้ ( ไม่โกรธตอบ ) ผู้นั้นชื่อว่าประพฤติเป็นประโยชน์ด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย คือทั้งฝ่ายตนและฝ่ายผู้อื่น และผู้ที่มัวโกรธอยู่อย่างนี้ ไม่ชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วย "
๒. ระลึกถึงความดีของเขา
ถ้าวิธี ๑ ไม่สำเร็จ ลองวิธีที่ ๒ คือระลึกถึงความดีของเขา เพราะบางคนความประพฤติทางกาย เขาปฏิบัติดีเป็นอันมาก ชนทั้งปวงก็รู้ได้ แต่วาจาและใจไม่เรียบร้อย เราก็ระลึกถึงแต่ความดีทางกายของเขาอย่างเดียว บางคนดีทางวาจาอย่งเดียว พูดจาอ่อนหวาน พูดให้คนอื่นสบายใจมีหน้าชื่อบาน ทักก่อน แต่ความประพฤติทางกายและใจไม่เรียบร้อย เราก็อย่าคิดถึงทางกายและใจ ระลึกถึงแต่ความดีทางวาจาอย่างเดียว บางคนดีทางใจเท่านั้น ความเรียบร้อยทางใจของเขานั้น ปรากฏแก่ชนทั้งปวงในการทำกิจต่างๆ เช่น การไหว้พระเจดีย์ เขาย่อมไหว้โดยเคารพไม่นั่งใจลอย โงกง่วงอยู่ในที่ฟังธรรม เราก็ระลึกถึงแต่ความเรียบร้อยทางใจของเขาอย่างเดียวเถิด สำหรับบางคนประพฤติไม่ดีทั้งทางกาย วาจา ใจ เราควรตั้งความกรุณาในบุคคลนั้นด้วยเถิด ( สงสาร ) " เวลานี้เขาอยู่ในโลกมนุษย์แต่ว่าอีกไม่นาน เขาก็ต้องไปเพิ่มให้หมานรกทั้ง ๘ ขุม เต็มขึ้น เมื่อทำใจเช่นนี้ ความอาฆาต โกรธแค้น ย่อมระงับลงได้ เพราะอาศัยความกรุณา "
๓. พึงสอนตนว่า " ความโกรธคือการทำความทุกข์ให้ตนเอง "
เช่นว่า " เจ้าไปพะนอความโกรธ อันเป็นตัวตัดมูลรากของศีลทั้งหลายที่เจ้ารักษาเสีย ขอถามหน่อย ใครโง่เหมือนเจ้าบ้างเล่า เจ้าโกรธว่า คนอื่นทำกรรมป่าเถื่อน ( กรรมชั่ว ) ให้อย่างไรหนอ เจ้าจึงปรารถนาจะทำกรรมเช่นเดียวกันนั้นเสียเองเล่า ถ้าคนอื่นอยากให้เจ้าโกรธ จึงทำความไม่พอใจให้ไฉนเจ้าจึงจะช่วยทำความตั้งใจของเขาให้สำเร็จ โดยปล่อยให้ความโกรธเกิดขึ้นเล่า น่าตำหนิ เจ้าโกรธแล้วจักได้ทำทุกข์ให้แก่เขาหรือไม่ก็ตาม แต่เดี๋ยวนี้ เจ้าก็ได้เบียดเบียนตนเองด้วยความโกรธทุกข์ ( ความทุกข์ใจเพราะความโกรธ )อยู่แท้ๆ
๔. พิจารณาความที่สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของ ๆ ตน
ถ้ายังไม่หายโกรธ พึงพิจารณาให้เห็นว่าตนและคนอื่นต่างมีกรรมเป็นของ ๆ ตน เช่นว่า เจ้าโกรธเขาแล้ว เจ้าจักทำอะไร กรรมที่มีโทสะเป็นเหตุ จักเป็นไปเพื่อความเสื่อมเสียแก่ตัวเจ้าเองมิใช่หรือ เจ้าจักทำกรรมใดไว้ เจ้าจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น กรรมอันนี้จะสามารถให้สมบัติทั้งหลายมีความเป็นพระราชา พระอินทร์ เป็นต้น ก็หามิได้เลย กรรมนี้มีแต่จะทำให้เจ้าเสวยทุกข์ในเรือนจำ ทุกข์ในนรกเป็นต้น อย่างนี้แล้วจึงพิจารณาถึงฝ่ายคนอื่นบ้าง ดังที่พิจารณาในฝ่ายตน
๕. พิจารณาถึงความประพฤติในกาลก่อนของพระศาสดา
เช่นว่า พระศาสดาของเจ้าในกาลก่อนแต่การตรัสรู้แม้เป็นพระโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญพระบารมีอยู่ตลอด ๔ อสงไขยกับแสนกัป มิได้ทรงยังจิตให้คิดประทุษร้ายในบุคคลทั้งหลายผู้เป็นศัตรู แม้เป็นผู้ปลงพระชนม์เอาในชาตินั้น เช่น ใน ขันติวาทีชาดก พระโพธิสัตว์ เมื่อพระราชาพระนามว่ากลาพุ ผู้โง่เขาถามว่า สมณะ แกกล่าววาทะอะไร ตอบว่า อาตมากล่าววาทะคือขันติ ( ความอดทน ) ถูกโบยด้วยหวายทั้งหนามแล้ว ตัดมือและเท้าเสีย ก็ทรงมิได้ทำแม้แต่อาการขุ่นเคือง หรือ เรื่องใน มหากปิชาดก พระโพธิสัตว์สัตว์เกิดเป็นกระบี่ใหญ่ ( ลิง ) เมื่อถูกชายผู้หนึ่งผู้ที่ตนเองช่วยฉุดขึ้นจากเหวรอดชีวิตแล้ว ยังคิดร้ายว่า " ลิงนี่ก็เป็นอาหารของพวกมนุษย์เหมือนสัตว์ป่าอื่น ๆ ในป่านั่งเอง อย่ากระนั้นเลย เราก็หิวแล้ว .ฆ่าลิงตัวนี้กินเสียเถิดน่ะ เราก็อิ่มแล้ว จะถือเอาเนื้อมันเป็นเสบียงไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จักข้ามทางกันดารไปได้เสบียงก็จักมีแก่เราด้วย " ดังนี้แล้ว ยกก้อนหินทุ่มหัวเอากระบี่ใหญ่ก็ยังมองชายนั้น ด้วยดวงตาอันนองด้วยน้ำตา กล่าวกะเขาด้วยดีว่า นายจ๋า นายอย่าทำกะข้าซิ น่าติ! นาย ทำกรรมเช่นนี้ได้ ( ลงคอ ) นายก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีอายุยืนควรแต่จะห้ามคนอื่น ( มิให้ทำร้ายกัน แต่นี่นายกลับทำร้ายเสียเอง ) ไม่ยังจิตให้คิดร้ายในชายผู้นั้น ไม่คิดถึงความทุกข์ของตนเลย ยังพาชายผู้นั้นให้ถึงที่ ๆ ปลอดภัยเสียด้วย
๖. พิจารณาถึงความที่เคยเกี่ยวข้องกันในสังสารวัฏ
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า สัตว์ผู้ที่ไม่เคยเป็นมารดา ไม่เคยเป็นบิดา ไม่เคยเป็นพี่น้องชาย ไม่เคยเป็นพี่น้องหญิง ไม่เคยเป็นบุตร ไม่เคยเป็นธิดา มิใช่หาได้ง่าย เพราะแะนั้น เราพึงยังจิตอย่างนี้ ให้เกิดขึ้นในผู้นั้นว่า " ผู้นี้เป็นมารดาในอดีตของเรา รักษาเราอยู่ในท้อง ไม่แสดงอาการเกลียดสิ่งปฏิกูลทั้งหลาย มีอุจจาระ ปัสสาวะ น้ำลาย และน้ำมูก เป็นต้น ของเรา เช็ดได้ราวกะจันทร์แดง ( ต้นไม้หอมชนิดหนึ่ง ) ให้เรานอนแนบอก อุ้มเราไป เลี้ยงเรามา..เป็นบิดา ในอดีตของเรา ประกอบอาชีพต่างๆ ทำงานที่ยากอื่นๆ บ้างเพื่อประโยชน์แก่ตัวเรา คิดว่า จักเลี้ยงลูกน้อย รวบรวมทรัพย์ด้วยการงานนั้น ๆ เลี้ยงเรามา... การทำใจร้าย โกรธเคืองในบุคคลนั้น ไม่สมควรแก่เราเลย "
๗. พิจารณาอานิสงฆ์เมตตา
ถ้ายังไม่อาจดับความโกรธได้ ลองพิจารณาอานิงส์ของเมตตา ถ้าเราละความโกรธได้ มีจิตเมตตาปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข ก็จะได้รับอานิสงส์ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มี ๑๑ อย่าง คือ
๑. หลับเป็นสุข ๒. ตื่นเป็นสุข ๓. ไม่ฝันร้าย  ๔. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
๕. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย  ๖. เทวดาย่อมรักษาผู้นั้น 
๗. ไฟ พิษ หรือศัสตรา ยอ่มไม่ทำร้ายผู้นั้น   ๘. จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิเร็ว
๙. สีหน้าผ่องใส  ๑๐. ไม่หลงตาย คือ มีสติก่อนตาย
๑๑. เมื่อไม่บรรลุคุณวิเศษที่ยิ่ง ย่อมเข้าถึงพรหมโลก
๘. ใช้วิธีแยกธาตุ
พึงสอนตนอย่างนี้ว่า " ตัวเจ้าเมื่อโกรธบุคคลนั้น โกรธอะไร โกรธผมหรือ หรือว่า โกรธขน โกรธเล็บ ฯ ล ฯ หรือมิฉะนั้น ก็โกรธธาตุดิน โกรธธาตุน้ำ โกรธธาตุไฟ หรือ โกรธธาตุลม เมื่อเห็นว่ามีแต่ธาตุ แล้วเราจะโกรธไปทำไม "
๙. วิธีสุท้าย - ทำการให้และการแบ่ง
ถ้ายังไม่หายโกรธอีก พึงให้ของ ๆ ตนแก่เขา รับของๆ เขามาเพื่อตนเอง แต่ถ้าเขามีอาชีพไม่บริสุทธิ์ ก็พึงให้แต่ของๆ ตนไปผ่ายเดียว อย่ารับของ ๆ เขาเลย เมื่อเราทำไปอย่างนั้น ความอาฆาตในบุคคลนั้น จะระงับไปได้ ส่วนความโกรธของอีกฝ่ายหนึ่ง แม้จะติดตามมาตั้งแต่อดีตชาติ ก็ระงับไปในทันทีเหมือนกัน ดังที่พระพทุธองค์ตรัสไว้ว่า " ททมาโน ปิโย โหติ " แปลว่า " ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ( ของผู้รับ ) "
" เขาว่าเรา เราอย่าโกรธ ลงโทษเขา ในเมื่อเรา นี้ไม่เป็น เช่นเขาว่า
หากเราเป็น จริงจัง ดังวาจา   เมื่อเขาว่า อย่าโกรธเขา เราเป็นจริง "

คัดจากหนังสือ ตายแล้วไปไหน ? หน้า ๓๒ - ๓๘
เรียบเรียงโดย พระมหาสุสวัสดิ์ จนฺทปญฺโญ ป.ธ.๙
ที่มาของข้อความในการพิมพ์ : ถ้าตกหล่น หรือ พิมพ์ผิด ขออภัยด้วยครับ

วิธีทำให้บ้านเป็นสวรรค์

วิธีทำบ้านให้เป็นสวรรค์ ๑๐ ประการ มีวิธีปฏิบัติแบบเป็นสูตรสำเร็จ ดังนี้ :-

โดย...นักบวชปาซาน
วัดพระมหาชนก เมืองกริฟฟิน รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
๑.ทานมัย รู้จักการให้
การให้ ต้องให้ ให้เป็น การให้ที่ถูกต้อง ต้องเป็นการให้ที่ให้ด้วยความรู้สึกที่เต็มใจ
พอใจ บริสุทธิ์ใจอย่างเต็มที่ มีความรู้สึกดีใจที่ได้ให้ ได้ทำ หวังให้เขามีความสุข
โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆทั้งสิ้น ขอให้เขาสุขใจ มีรอยยิ้มก็พอ
ขอยกตัวอย่าง เรื่องการให้ที่เรามักทำกันอยู่เป็นประจำ เช่น การทำอาหาร
การกวาดบ้าน การซักเสื้อผ้า การขับรถ การพูดคุย ทุกอย่างที่ทำไปนั้น
ล้วนอยู่ในขบวนการ ของการให้ทั้งหมดทั้งสิ้น
แต่ในนิยามของคำว่า "ให้" มีข้อแม้อยู่ว่า ต้องใส่ความรู้สึกที่ดีลงไปด้วย
ไม่ใช่สักแต่ว่าให้ สักแต่ว่าทำแต่อย่างเดียว
ยกตัวอย่างเช่น การชงกาแฟให้ใครสักคน ขณะที่ชง ก็ต้องคิดในใจไปด้วยว่า
ขอให้คนที่จะดื่มกาแฟถ้วยนี้ ขอให้เขาจงมีแต่ความสุข ความสำเร็จ
ความสมหวังทุกภพทุกชาติตลอดไป หรือจะคิดจะว่าอะไรก็ได้
ขอให้เป็นคำที่เป็นมงคลก็ว่าได้หมด
ภาษาพระ ท่านเรียกว่าการอธิษฐาน คือ ตั้งใจให้เป็นบุญ
ทุกครั้งที่ทำอะไรลงไป ที่เป็นไปเพื่อผู้อื่น เพื่อส่วนรวม เพื่อครอบครัว
ต้องใส่ความคิดแบบนี้ไปด้วยทุกครั้ง นั้นจึงจะครบสูตรของการให้
การกระทำที่ดีที่เป็นบุญ
การกวาดบ้าน การถูบ้าน ล้างจาน ล้างห้องน้ำ ก็ต้องใส่ความรู้สึกที่ดีๆลงไปด้วยทุกครั้ง
ถ้าไม่ได้ใส่ความคิดที่ดีลงไป ก็จะเข้าสูตรที่ว่า สักแต่ว่าทำ จะไม่เกิดบุญ
เกิดพลังที่จะดลบันดาลให้บ้านเป็นสวรรค์ได้
๒.ศีลมัย ประพฤติตนเป็นคนดีอย่างแท้จริง
คนดี ก็ คือ คนที่มีความประพฤติที่ไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อน ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน
เป็นคนมีความรับผิด มีระเบียบวินัยในเรื่องการใช้จ่ายเงิน การใช้สิ่งของ
มีความสะอาดที่เป็นหนึ่งเป็นเลิศ
เคารพในสัจจะสัญญา ทำหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบให้เสร็จสมบูรณ์ ถูกต้อง
และอย่างเต็มใจ เคารพต่อกฏกติกา ที่ได้วางไว้ กำหนดไว้แล้วอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
เวลาจะทำอะไรลงไป ถือว่าเป็นการฝึกตัวเองไปในตัว จะไม่ทำให้เราเสียนิสัย
จะไม่ทำอะไรที่จะให้เป็นปัญหา เกิดปัญหาตามมา เกิดความเสียหาย
เกิดบาปเกิดกรรมตามมา เป็นต้น
คนดีในบ้าน คือ คนที่ทำหน้าที่ของตนอย่างสมบูรณ์
ทำหน้าที่ในครอบครัวอย่างสมบูรณ์ ไม่เบียดเบียนตน
และคนในครอบครัวให้ได้รับความเดือดร้อน
๓. ภาวนามัย มีจิตคิดแต่ในเรื่องที่ดี ที่เป็นบุญต่อกัน
ความคิดของคนเรานั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับชีวิตมากทีเดียว
ความสุข และความทุกข์ มันก็มีที่เกิด ที่เพาะเชื้อของมันตรงจุดนี้
ใจดีก็มีสุข ใจทุกข์ก็สุขไม่มี
คนเราหากว่าใจเกิดเสียอย่างเดียว ทุกอย่างก็จะเสียหมด
ทุกอย่างก็จะหมดความหมาย อาหารที่เคยชอบ เคยกินแล้วอร่อย ก็จะไม่อร่อย
เพลงที่เคยฟังแล้วไพเราะ ก็จะหมดความไพเราะ ฟังแบบไม่มีความสุข
แบบไม่มีชีวิตชีวา อะไรที่เคยว่าดีว่างาม ก็จะหมดความดีความงามไปเสียหมด
เพราะฉะนั้น ต้องระวังเรื่องความคิดนี้ให้ดี อย่าให้เกิดอาการเสียดุล
เสียคุณภาพเป็นเด็ดขาด เวลาจะคิดถึงใคร คนใดคนหนึ่งก็ตาม
โดยเฉพาะกับบุคคลในบ้าน ก็ต้องคิดให้เป็น คิดให้ถูก
เวลาคิดก็จะไม่คิดว่าเราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา หรือเขาดีกว่าเรา เขาเลวกว่าเรา
จะต้องไม่คิดแบบนั้น จะไม่เป็นคนที่คิดมากเกินความจริง
เรื่องบางเรื่องทั้งที่ยังไม่เป็นจริง ก็คิดว่ามันจะต้องเป็นจริง ต้องไม่คิดหวาดระแวงจนตัวเองหมดสุข เป็นเหตุให้คนในบ้าน
หมดความสุขไปด้วย
อะไรที่ยังไม่เกิด ก็อย่าเพิ่งคิดถึงมันจนเป็นทุกข์ เห็นบ้านอื่นเขาเป็น
คนอื่นเขาเป็น ก็มาคิดว่าคนในบ้านของเราก็เป็นเหมือนเขา
จะต้องไม่คิดเรื่องเล็ก ให้เป็นเรื่องใหญ่ จะต้องไม่เบิกความทุกข์มาใช้ก่อน
การคิดถึงคนในครอบครัว ก็ต้องเป็นความคิด ที่มีความรัก ความเมตตา
ความบริสุทธิ์ใจเป็นพื้นฐาน ไม่คิดแบบจับผิด ไม่คิดแบบตำหนิในใจ
ไม่คิดแบบหวาดระแวง ต้องคิดให้เป็นบุญต่อกัน
บ้านที่ไม่เป็นบ้าน ครอบครัวที่ไม่เป็นครอบครัว ก็มาจากเจ้าตัวนี้
เก็บความคิดที่ไม่ดีไว้ทุกๆวัน พอมันมากขึ้น ก็กลายเป็นปืน เป็นมีด
เป็นคุก เป็นตาราง เป็นน้ำตาขึ้นมาในที่สุด
เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ เริ่มปรับที่ตัวเรา โดยบอกตัวเองว่า
เรามันก็ไม่ดีเท่าไรเหมือนกัน เราก็เคยผิดเคยพลาดมาเหมือนกัน
ต้องปรับต้องแก้ จะให้คนในบ้านถูกใจเราหมด เป็นไปไม่ได้
๔.อปจายนมัย เชื่อฟังกัน เคารพนับถือกัน
การยอมฟังกันบ้าง ถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่ง
ที่จะเป็นเหตุให้อะไรต่างๆดีขึ้น แก้ไขได้ง่ายขึ้น หากไม่ฟังกันทุกอย่างก็จบ
เช่น พ่อแม่ว่าอะไร บอกอะไร ก็ควรเอาใจใส่ บ้าง สนใจบ้าง ใครเตือนอะไรก็ฟัง
ก็ทำตามบ้าง น้องเคารพพี่ พี่ให้เกียรติน้อง ภรรยาเคารพสามี สามีให้เกียรติภรรยา
ต้องรู้จักการให้เกียรติซึ่งกันและกัน สวรรค์ก็จะเกิดขึ้นมาได้
ไม่ใช่จะเอาแต่ตัวเองถูกคนเดียว แบบนั้นก็แย่
คำเตือน คือขุมทรัพย์ เราอาจกำลังหลงอยู่ อาจจะมองไม่เห็นว่าอะไรผิดอะไรถูก
เมื่อมีคนบอกก็ต้องหยุด ต้องเลิกให้ได้ ถ้าเมื่อไรไม่ฟังกัน ไม่เคารพกัน
ประตูสวรรค์ก็ปิดลงทันที ประตูนรกก็เปิดรอรับเรา
๕.เวจยาวัจจมัย ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งและกัน
ในยามที่มีธุระ มีความจำเป็น
พระอาจารย์ชยสาโร ลูกศิษย์หลวงพ่อชา ท่านเทศน์ไว้ประโยคหนึ่งว่า
คนเรานั้น อย่าเป็นคนที่เอาหูไปนา เอาตาไปห้างฯ
ท่านสอนไว้ว่า หากใครมีธุระอะไร ก็ควรเสียสละเวลา ช่วยเขาบ้าง อย่าเมินเฉย
มีกิจธุระอะไรพอช่วยได้ก็ช่วยกันไป ท่านสอนไว้อย่างนั้น
เรื่องการช่วยกันนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับชีวิตครอบครัวมาก จะปล่อยให้แต่เพียง
คนเดียวรับผิดชอบคนเดียวไม่ได้ อะไรที่เราสามารถพอช่วยเขาได้ ก็ต้องช่วยกัน
อย่าสรุปว่า วันนี้ฉันทำงานทั้งวันแล้ว คุณทำคนเดียวเถอะ คิดแบบนั้นไม่ได้
ต้องรู้จักการแสดงออกซึ่งน้ำใจบ้าง ถ้าเขาเข้าใจเรา เขาก็จะบอกเองว่าไปพักเถอะ ฉันทำเอง
ลูกหลานพอที่จะช่วยงานช่วยรับผิดชอบ อะไรได้บ้าง ก็ต้องช่วยกันบ้าง
ไม่ควรจะปล่อยให้คุณพ่อคุณแม่ทำอย่างเดียว อย่าเห็นพ่อแม่ว่าเป็นคนรับใช้ไม่ดี
ทำไม่เป็น ก็ไปยืนให้กำลังใจบ้าง รู้จักถามสักคำก็ยังพอได้บุญ เป็นทุนสร้างบ้านให้เป็นสวรรค์ได้ ส่วนมากก็จะไม่สนใจทำบุญตัวนี้กันเอาเสียเลย
๖.ปัตติทานมัย ได้อะไรดีๆ ก็แบ่งปันกันกิน แบ่งปันกันใช้
เจออะไรสวยๆ ดีๆ ก็หัดคิดถึงคนที่บ้านบ้าง กินอะไรอร่อยๆ ก็คิดถึงคนที่บ้านบ้าง
ก่อนที่จะกลืนสักคำก็ยังดี นี่คือสูตร ที่ทำให้เกิดความเห็นอกเห็นใจ
การเป็นห่วงเป็นใย ซึ่งกันและกัน อย่าอร่อยแต่เพียงคนเดียว
อย่าสวยแต่เพียงคนเดียวบางคนน่าสงสารมาก ได้อาหารอร่อยก็แอบกินคนเดียว
มีอะไรดีๆ ก็เก็บไว้คนเดียว อย่าทำอย่างนั้น และอย่าคิดว่า
เขาไม่เคยซื้ออะไรมาให้เรากินเลย เราก็อย่าซื้ออะไรให้เขากินเช่นกัน
อย่าคิดอย่างนั้น จงคิดว่า เราจะต้องซื้ออะไรไปให้เขากินหนอ ถึงจะถูกต้อง
เราต้องเป็นคนคิดก่อน ทำก่อน เมื่อต่างคนต่างคิดกันแบบนี้ ครอบครัวก็จะอยู่ดีมีสุขได้
๗.ปัตตานุโมทนามัย แสดงความดีใจเมื่อใครพบความสุข ความสำเร็จ
อย่าให้มีรู้สึกอิจฉาริษยากันเช่น คนเรามักมีความรู้สึกนี้เกิดขึ้นได้เสมอ
เห็นคนในบ้านได้รับคำชม ก็รู้สึกไม่พอใจ คนในบ้านได้อะไรดีๆมา
ก็นึกในใจว่าทำไม เราไม่ได้บ้าง ความรู้สึกแบบนี้ถือว่าเป็นความรู้สึกที่ไม่ดี
ในกลุ่มลูกๆก็เช่นกัน หากพ่อแม่ให้อะไรคนใดคนหนึ่งในบ้าน ก็อย่าจ้องริษยาอิจฉากัน
การอิจฉาริษยาตาร้อน ย่อมทำให้บ้านเป็นนรกได้อย่างแน่นอน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
๘.ธัมมัสสวนมัย พากันไปศึกษาธรรมปฏิบัติธรรมทำบุญร่วมกัน
มีเวลาก็ชวนกันไปทำความดี สร้างความดีให้โลก ให้สังคม เช่น บ้านไหนเขามีงานบุญ
เราก็ต้องเสียสละเวลาบ้างไปบ้าง ถ้าเขาเชิญเราก็ต้องไป ไม่มีเวลามาก แวบหนึ่งก็ยังดี
ดีกว่าไม่ไปเลย วัดก็ต้องพากันไปบ้าง ไปทำบุญร่วมกันบ้าง จะได้มีบุญต่อกัน
ไปนั่งสมาธิทั้งครอบครัว ไปสวดมนต์ทั้งครอบครัว
พาครอบครัวไปให้พระอบรมสั่งสอนบ้าง จะได้รู้ว่าเราต้องปรับต้องแก้อะไร
วันสำคัญของพ่อ ของแม่ ของพี่ ของน้อง ก็ควรไปทำบุญให้พี่ให้น้องบ้าง
ชีวิตครอบครัวจะได้มีบุญรักษา มีบุญคุ้มครอง
มารจะได้ไม่มีโอกาสมาเบียดเบียนครอบครัวเรา
๙.ธัมมเทสนามัย แนะนำตักเตือน ให้ข้อคิด ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
การรู้จักให้กำลังใจซึ่งกันและกัน การให้ข้อคิด คอยให้ข้อแนะนำ คอยบอก
คอยสอน ถือว่าเป็นสิ่งที่จะต้องทำ และก็ควรเลือกเวลาทำด้วย ให้ดูจังหวะ
ว่าเวลาไหนควรบอกไม่ควรบอก ก่อนสอนลูก ก่อนบอกลูก ก็ควรพากันไป
ไหว้พระสวดมนต์ก่อน แล้วค่อยบอกค่อยสอน
บางคนพอมีความโกรธขึ้นมาก็เริ่มบ่น ก็คิดว่าเราสอนแล้วบอกแล้ว นั้นไม่ใช้
นั้นเขาเรียกว่า เป็นการสาปแช่ง ผิดหลักศาสนา
มีคนใดคนหนึ่งในครอบครัวมีปัญหา ก็ควรเอาใจใส่บ้าง คอยเป็นเพื่อน
คอยดูแล อย่าคิดซ้ำเติม อย่าตำหนิ คนเราผิดพลาดกันได้ ควรรู้จักให้อภัยกัน
๑๐.ทิฏฐุชุกัมม์ ปรับความคิด ให้มีความเห็นแนวเดียวกันจุดเดียวกัน
สุดท้าย คือ นายท้ายเรือ เรือจะเข้าฝั่ง หรือจะลงทะเลลึก ก็ตัวนี้ คือ ความคิด
ความอ่าน ที่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน จุดเดียวกัน
คนเราต่างพ่อ ต่างแม่ ต่างพี่ ต่างน้อง มาอยู่ด้วยกัน แน่นอนนิสัยย่อมต่างกัน
ต้องปรับ ต้องเปลี่ยน ให้มีความเห็นในทางเดียวกัน ตัวความคิดที่ไม่ตรงกันนี่แหล่ะ
คือ ตัวการที่จะทำ ให้เกิดการทะเลาะกัน หากปรับความคิดกันไม่ได้ ก็พากันไปปรับที่วัด
หรือกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือ ปัญหาจะได้ไม่เกิดขึ้น ครอบครัวจะได้เป็นเมืองสวรรค์
ทั้งหมดที่กล่าวมาภาษาพระเรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ แปลว่า เหตุให้เกิดบุญ เหตุให้ไปสวรรค์
บุญไม่จำเป็นต้องทำแต่ในวัดอย่างเดียวเท่านั้น
บุญก็เป็นเรื่องที่จำเป็น ที่จะต้องทำในบ้าน ให้ได้มากที่สุด และต้องทำให้ได้ทุกวัน
หากครอบครัวไหน ขาดการทำบุญในบ้าน ตามสูตรนี้แล้ว ครอบครัวนั้นก็น่าเป็นห่วงเหลือเกิน
ขอให้จำไว้ว่า บุญนั้นต้องไปฝึกที่วัด แล้วให้มาปฏิบัติที่บ้าน บ้านจะได้กลายเป็นสวรรค์ มีแต่ความสุขบนโลกใบนี้ตลอดไป

ผู้ประทุษร้ายเขาข้างเดียว เขาไม่ทำตอบ ได้รับโทษ ๑๐

๑. ประสบทุกขเวทนากล้าแข็ง
๒. ประสบหายนะความเสื่อม
๓. การแตกทำลายแห่งสรีระ (ตาย)
๔. อาพาธหนัก
๕. จิตฟุ้งซ่าน
๖. อุปสรรค เหตุขัดข้องจากผู้ใหญ่
๗. ถูกกล่าวหาร้ายแรง
๘. เสื่อมญาติ
๙. เสื่อมทรัพย์
๑๐. ไฟ หรือไฟป่าอาจไหม้บ้าน ผลที่ได้รับอันเป็นส่วนอนาคตคือ ตายแล้วย่อมเกิดในนรก
คัดลอกจากหนังสืออนุสรณ์งานบำเพ็ญกุศลศพ ครบ ๑ ปี
พระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (หลวงพ่อสาย อคฺควํโส)
อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ต. ท่าขนุน อ. ทองผาภูมิ จ. กาญจนบุรี

ข้อคิดดีดี

โลกกลมๆ ใบนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆของฟรีไม่เคยมี ของดีไม่เคยถูก
อยู่ให้ไว้ใจ ไปให้คิดถึง คนเราต้องเดินหน้า เวลายังเดินหน้าเลย
ไม่ต้องสนใจว่าแมวจะสีขาวหรือดำ ขอให้จับหนูได้ก็พอ
ยิ่งมีใจศรัทธา ยิ่งต้องมีสายตาที่เยือกเย็น
ในโลกกลม ๆ ใบนี้ ไม่มีคำว่า }แน่นอน~
คนเราเมื่อ ตัวตายก็ต้องลงดิน
ท้อแท้ได้ แต่อย่าท้อถอย อิจฉาได้ แต่อย่าริษยา พักได้ แต่อย่าหยุด
เหตุผลของคน ๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่ของคน อีกคนหนึ่ง
ถ้าไม่ลองก้าว จะไม่มีวันรู้ได้เลยว่า ข้างหน้าเป็นอย่างไร
หนทางอันยาวไกลนับหมื่นลี้ ต้องเริ่มต้นด้วยก้าวแรกก่อนเสมอ
ปัญหาทุกอย่าง อยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
จะเห็นค่าของความอบอุ่น เมื่อผ่านความเหน็บหนาวมาแล้ว
อันตรายที่สุดคือ การคาดหวัง
 เริ่มต้นดีแล้ว ลงท้ายก็ต้องดีด้วย อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
จงใช้สติ อย่าใช้อารมณ์ เบื้องหลังความเข้มแข็ง สมควรมีความอ่อนโยน
ไม่มีคำว่า บังเอิญ ในเรื่องของความรัก มีแต่คำว่า ตั้งใจ ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป
หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
หลังผ่านปัญหา จะรู้ว่าปัญหานั้นเล็กนิดเดียว
ไม่เป็นขุนนางนะ ได้ แต่ไม่เป็นคนไม่ได้
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง เมื่อวานก็สายเกินแล้วพรุ่งนี้ ก็สายเกินไป
อย่าหวังว่าจะได้รับความรัก จากคนที่คุณรัก เพราะคนที่คุณรัก ไม่ได้รักคุณ หมดทุกคน
เพื่อนทั่วไป ไม่เห็นคุณร้องไห้ เพื่อนแท้ มีหัวไหล่ไว้คอยซับน้ำตาให้
เพื่อนทั่วไป ถือขวดไวน์ติดมือมางานปาร์ตี้ของคุณ เพื่อนแท้ จะมาแต่หัววันเพื่อช่วยเตรียมงาน
เพื่อนทั่วไป คาดหวังให้คุณเคียงข้างเขาเสมอ เพื่อนแท้ คาดหวังที่จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป
เพื่อนทั่วไป เข้าหาผลประโยชน์ ที่ได้รับจากเรา

ลำบากเข้าไว้ต่อไปจะสบาย

คนเราถ้าจะประสบความสำเร็จได้ต้องผ่านความลำบากมาก่อน ถ้าสบาย...จะสำเร็จยาก คนเราเวลาลำบากแล้วมันจะต้องรีดเอาสมรรถนะของตัวเองทุกส่วนที่มีอยู่ออกมาเพื่อต่อสู้กับความลำบากนั้น แล้วมันจะทำให้ตัวเองมีความก้าวหน้าได้
คนในยุคปัจจุบันมันสบายเกิน ในเมื่อสบายเกิน ความก้าวหน้ามันจะมีน้อย ร่างกายของเราต้องเจอการกดดัน ก็คือ การฝึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ย้ำแล้วย้ำเล่า จนกระทั่งกระดูกเส้นเอ็นมันเข้มแข็งขึ้น สมรรถนะร่างกายมันจึงจะก้าวขึ้นสู่จุดสูงขึ้นได้ เรื่องของใจก็เหมือนกัน ถ้าหากเราอยู่ในสถานที่สบาย ๆ เลี่ยงความลำบากเอาความสบาย ถ้าหากไม่ได้สร้างบุญมาดีจริงประสบความสำเร็จยากมาก เพราะมันจะไม่รู้เลยว่าตัวเองมีสมรรถนะเท่าไหร่ โบราณเขาบอกว่าลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ แต่พวกเรามันสบายก่อนแล้วก็ตายเมื่อปลายมือ ไปไม่รอด
พระพุทธเจ้าท่านกำหนดธุดงควัตร ๑๓ ประการเอาไว้ เพื่อเค้นเอาสมรรถนะของพระภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ออกมา เราจะเลี่ยงไปฝึกอย่างอื่นก็ได้ ถ้าหากว่าจริตนิสัยชอบและทุ่มเท แต่ถ้าหากจริตนิสัยมันหยิบหย่งจับจด เอาดีได้ยาก ให้เอาธุดงค์ไปเลย ให้มันรู้สึกว่าลำบากแทบล้มประดาตาย เดี๋ยวมันก็เห็นทุกข์เอง ไม่อย่างนั้นมันไม่เห็น
อยู่สบายกินสบาย พอเจอธุดงควัตรเข้าไป เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ฉันมื้อเดียวเป็นวัตร นั่งอาสนะเดียวเป็นวัตร แค่นี้ก็จะแย่อยู่แล้ว หลวงปู่วัดพระพุทธบาทตากผ้าท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านไปธุดงค์แล้วหลงทาง เดินอดข้าวมาสองวัน พอวันที่สามหลุดออกจากชายป่า มาเจอบ้านโยมดีใจแทบตาย เห็นว่า ๑๑ โมงยังฉันได้ โยมเห็นว่าพระอดมาสองวันก็รีบหุงข้าวให้ ในระหว่างที่รอให้ข้าวสุกท่านเกิดเป็นลมไปก่อน ฟื้นขึ้นมาก็ปรากฏว่าเลยเที่ยงไปแล้ว ทำให้อด ไม่ได้ฉันอีก
พอวันที่สี่ท่านก็เดินไปเรื่อย ๆ กว่าจะเจอบ้านก็เกือบครึ่งวัน เมื่อบิณฑบาตได้ข้าวมาแล้ว ก็หลีกไปก็ปูผ้านั่งฉัน พอเปิดฝาบาตรฉันข้าวได้คำเดียว ช้างของชาวบ้านก็ดันตกมัน วิ่งมาทางนั้นพอดี หลวงปู่ท่านก็ต้องเผ่นลุกออกไป ทีนี้พระธุดงค์ท่านถือว่า นั่งฉันแล้ว...ถ้าลุกคือเลิกเลย แล้วหลวงปู่เพิ่งฉันได้คำเดียวด้วย ตกลงว่าสี่วันได้ฉันข้าวคำเดียว แต่ว่าท่านลำบากอย่างนั้นแล้วท่านมักจะได้มรรคได้ผล ตามที่ท่านต้องการ เพราะว่าจะให้ลำบากกว่านั้นมันไม่มีแล้ว อดจนแทบล้มประดาตาย แล้วท่านก็ยังไม่ยอมละเมิดศีล รักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต
ถ้าหากว่าทำตัวให้ลำบากไว้ ต่อไปอะไร ๆ ก็จะสบาย อาตมาเองตอนช่วงธุดงค์ ด้วยความที่ตัวเองลำบากมามาก เป็นลูกชาวไร่ ทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ พอมาเป็นทหารก็เจอการฝึกทั้งกลางวันกลางคืนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ร่างกายจิตใจมันก็เลยที่จะค่อนข้างแข็งแกร่ง เดินธุดงค์มันก็รู้ว่าลำบาก เชื่อไหมว่ามันลำบากเสียจนแทบล้มประดาตาย จนกระทั่งถึงวันที่ ๑๑ มันจึงยอมรับว่าทุกข์ ก่อนหน้านั้นมันไม่เคยยอมรับเลย มันนึกอยู่อย่างเดียวว่าแค่นี้กูไปได้ เพราะฉะนั้นถ้ามันไม่ลำบากถึงที่สุดจริง ๆ เราก็จะไม่นึกถึงความตาย มันไม่ลำบากจริง ๆ มันก็จะไม่นึกถึงความทุกข์ แล้วถ้าไม่ลำบากถึงที่สุดจริง ๆ สันดานอาตมาก็ไม่นึกขอให้คนช่วยเสียด้วย พอมันถึงที่สุดของที่สุดแล้วมันค่อยนึกถึงพระ นึกถึงครูบาอาจารย์ ไม่อย่างนั้นมันนึกอย่างเดียวว่าของแค่นี้เราเคยผ่านมาแล้ว เราไปได้
ก็เลยกลายเป็นว่าถ้าเราอยากจะเอาดีต้องยอมลำบาก สบายไม่ได้ ที่อาตมาออกจากวัดท่าซุงมาก็ด้วยเหตุนี้ เพราะว่าตอนที่อยู่วัดมันแทบจะก้าวถึงจุดสูงสุดแล้ว พระพี่พระน้องทั้งวัดเขายอมรับแล้วว่าเราแสบสุด ไม่มีใครยิ่งกว่านี้แล้ว ถ้าหากอยู่ลักษณะอย่างนั้นแล้วมันจะหาความก้าวหน้าไม่ได้ เพราะในเมื่อคนอื่นเขายกไว้ในที่สูงแล้วมันหาคู่แข่งไม่ได้ ในเมื่อมันหาคู่แข่งไม่ได้ถ้าไม่ใช่กำลังใจที่คิดจะใฝ่ดีจริง ๆ มันก็ไม่ไปดิ้นรน มันก็จะหยุดนิ่ง กลายเป็นน้ำเน่า แล้วก็มีอยู่ทางเดียวคือออกมาตกระกำลำบากข้างนอก มันก็จะได้รีดสมรรถภาพตัวเองออกมาอีก จะได้รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง

อยากให้ลูกๆได้อ่าน"คำสอนสมเด็จพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี)"

คำสอนสมเด็จพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี)
ลูกเอ๋ย....ยามที่พ่อแม่ของเจ้ามีอายุมากขึ้น...
ย่อมมีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน..
ความแข็งแรงของร่างกายที่เคยมีก็ลดลง...
ใจน้อย โกรธง่าย ความจำก็เสื่อม ขี้หลงขี้ลืม...
จิตใจก็หมดความสดชื่น...
ถึงแม้พวกเจ้าจะคอยเอาใจใส่ดูแลใกล้ชิดสักเพียงใดก็ตาม
ก็ไม่อาจช่วยให้พ่อแม่ของเจ้ามีความสุขได้เต็มที่...
เพราะพวกเจ้าทุกคนต่างก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ...
เจ้าช่วยท่านให้ได้รับความสุขเพียงการให้กินอยู่หลับนอน
อันเป็นความสุขทางกายเท่านั้น...
แต่จิตใจของท่านหาได้ร่าเริงสดชื่นผ่องใสไม่...
.....เจ้าจงจำไว้ว่า....การให้ความสุขแก่พ่อแม่อย่างแท้จริงก็คือ....
การให้ธรรมะ...ด้วยการสอนหลักธรรมง่ายๆ
ให้พ่อแม่ของเจ้า...พาท่านไปทำบุญทำทาน...
สอนท่านให้รู้จักการปฏิบัติบูชา...
สวดมนต์...ภาวนา...แผ่เมตตา
ธรรมะจะอยู่ในจิตใจของพ่อแม่เจ้าทุกภพทุกชาติ...
ถือว่าเป็นการทดแทนพระคุณที่สูงสุด...
เจ้าจงจำไว้นะลูกเอ๋ย....ฯ

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

Lock folder โดยไม่ต้องใช้โปรแกรม

สำหรับวิธีการ ล๊อก Folder ที่เราอยากจะเก็บไว้เป็นความลับไม่ต้องการให้คนอื่นมาเปิดดูไฟล์ใน Folder ของเราวันนี้ ขอเสนอวิธีการ ล๊อก Folder โดยการใช้ Bat file
วิธีการก็ง่ายๆ
ให้สร้าง Folder ที่คุณต้องการจะเก็บไฟล์นะครับ ในที่นี้ผมขอ สร้างเป็น ชื่อ Comfixclub นะครับ
วิธีการสร้าง Folder ทุกคนคงรู้อยู่แล้ว จากนั้นให้คุณเปิด Notepad แล้วพิมพ์ หรือ copy ของผมไปก็ได้ แล้วให้คุณปลี่ยนคำว่า Comfixclub เป็นชื่อ Folder  รูปแบบของการเขียนไฟล์ปลดล๊อก.bat
ren ชื่อfolder {20D04FE0-3AEA-1069-A2D8-08002B30309D} ชื่อfolder
ก็จะได้
ren Comfixclub.{20D04FE0-3AEA-1069-A2D8-08002B30309D} Comfixclub
*****หมายเหตุ ชื่อ Folder ห้ามแว้นวรรค นะครับ เช่น New Folder เนี่ยะไม่ได้นะครับ
เพราะว่าใน command มันไม่รู้จัก วรรค ครับมันจะหาแค่ Folder ที่ชื่อว่า New เท่านั้น
จากนั้นให้คุณ ไปที่ FileSave As ตั้งชื่อไฟล์ครับ ของผมผมจะตั้งชื่อว่า Key.bat ต้องเป็น .bat เท่านั้น
แล้วให้คุณกลับมาที่ Notepad อีกครั้งให้แก้โค้ดเป็นรูปแบบดังนี้
ren ชื่อfolder ชื่อfolder. {20D04FE0-3AEA-1069-A2D8-08002B30309D}
ระหว่างชื่อfolder ให้ เคาะหนึ่งน่ะครับแล้วก็ตามด้วยชื่อfolderคุณจะได้โค้ดเป็น
ren Comfixclub Comfixclub.{20D04FE0-3AEA-1069-A2D8-08002B30309D}
จากนั้นให้คุณ ไปที่ File Save As ตั้งชื่อไฟล์ครับของผมผมจะตั้งชื่อว่า Lock.bat ต้องเป็น .bat
เมื่อคุณต้องการ Lock โฟเดอร์ ให้คุณดับเบิ้ลคลิ๊กที่ไฟล์ Lock.bat
เมื่อคุณต้องการ ปลด Lock โฟเดอร์ ให้คุณดับเบิ้ลคลิ๊กที่ไฟล์ Key.bat
ผมได้แนบไฟล์ที่ผมทำไว้มาให้แล้วด้วยนะครับ สำหรับคนที่ไม่อยากเขียนเอง
แต่อยากลอกโฟเดอร์ไม่ให้คนอื่นเข้ามาคุณก็แค่เอาไฟล์ ไปเก็บในโฟเดอร์ Comfixclub
ของผมเท่านั้นเองเมื่อคุณต้องการ Lock โฟเดอร์ ให้คุณดับเบิ้ลคลิ๊กที่ไฟล์ Lock.bat
เมื่อคุณต้องการ ปลด Lock โฟเดอร์ ให้คุณดับเบิ้ลคลิ๊กที่ไฟล์ Key.bat

เคล็ดไม่ลับ การ Write CD ได้เกินความจุ ??

หลายๆ คนประสบปัญหาข้อมูลเกินแผ่น แต่เกินไปนิดเดียว ครั้นจะเอาลงอีกแผ่นก็กระไรอยู่
พอไปโพสถามที่โน่นที่นี่ก็มีแต่คนบอกว่าให้ Over Burn ไปเปิดหนังสือตำรับตำรา
คู่มือการใช้งานชนิดซียนไม่ว่าเล่มไหนๆ ต่างก็บอกไว้แค่นี้
ใช่ครับ มันเป็นทางเลือกหนึ่ง ตั้งแต่อ่านๆมาผมยังไม่เคยเห็นคนพูดถึงวิธีแบบผมเลย ผมก็ไม่เข้าใจ
ทำไมไม่ค่อยมีคนรู้ คนรู้ก็คงมีอยู่แหละน่า
 เพียงแต่ผมไม่เจอ (แต่ผมว่าผมก็ผ่านมาเยอะนะ)
แต่เดี๋ยวก่อนที่จะบอกวิธีผม คงจะมีคนสงสัย แล้ว
Over burn ไม่ดียังไง
แน่นอนครับ ผลเสียก็คือ โอกาสเจ๊งของแผ่นและDrive
ที่ใช้writeมีสูงครับ Driveอาจไม่เสียทันที
แต่ถ้าทำบ่อยๆก็จะโทรมลงเรื่อยๆครับ ดังนั้นทางทีดีควร
หลีกเลี่ยง เอาล่ะมาดูวิธีของผม
ใช้ Nero ทั่วๆไปนี่แหละ ไม่ต้องลงอะไรเพิ่มเติม
เปิด Options > Expert Features >
ไปติ๊กตรงนี้เลยครับ * Enable generation of short lead-out > OK
เสร็จแล้ว ง่ายจริงๆ แต่เวลาตอนเราจะไรท์ เราต้องใช้ Mode Disc-at-once นะครับแล้วเราก็จะ
สามารถไรท์เพิ่มได้อีก 12 mb โดยไม่ต้องOver burnให้เสี่ยง เพราะส่วนมากข้อมูลคงเกินมากัน
คนล่ะไม่เท่าไหร่    บางคนสงสัย แล้ว Disc-at-once เลือกยังไง ในหน้าที่เราจะเลือกความเร็วใน
การไรท์นะครับ ให้ติ๊กเอา* multisession disc ออกแล้วก็ไปเปลี่ยนตรง Write Method จาก
 Track-at-once เป็น Disc-at-once แล้วก็สั่ง write ได้เลยครับ
ข้อระวัง:
เนื่องจากเป็นการไรท์แบบDisc-at-once ดังนั้นแผ่นที่ไรท์แบบนี้จะไม่สามารถนำมาเขียนเพิ่มได้อีก
เพราะแผ่นจะโดนปิดsesstionทันที ก็คือต้องไรท์ให้เสร็จภาพในครั้งแรกและครั้งเดียวเท่านั้นข้อพึงระวังอีกนิดก็คือ Driveเก่าๆ บางรุ่นอาจอ่านแผ่นแบบนี้ไม่ได้ครับ แต่น้อยมากที่ผ่านมาผมใช้ได้หมด
แต่สุดท้ายหากข้อมูลเกินมาเยอะๆ แต่ต้องการลงแผ่นเดียวก็ไม่มีทางเลือก ต้องซื้อแผ่นแบบเกิน 700
มาOver burnเอาล่ะครับ ไม่แนะนำให้Over burnจากแผ่น700 ธรรมดา เพราะถึงแม้ว่าแผ่น Princo จะสามารถOver burn ได้ประมาณ 20 กว่า MB แต่เราก็จะต้องเสี่ยงกับการอ่านข้อมูลไม่ได้สูงมาก
และแผ่นแต่ล่ะยี่ห้อก็สามารถ Over burnได้มากน้อยต่างกันนะครับมันจะไม่ได้บอกไว้หรอก เราต้องใช้โปรแกรมทดสอบดูก่อน วันหลังผมจะมาสอนวิธีทดสอบว่าแต่ล่ะยี่ห้อแต่ล่ะแผ่น    สามารถ Over burnได้มากน้อยเท่าไหร่ครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
advance.exteen

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553

เบรกตื้อ... เบรกติด... เบรกแตก

นานแค่ไหน?... ที่คุณลืมใส่ใจกับระบบ BRAKES!


เจอะคำถามนี้เข้า..อิ้งกิมกี่..ไปเลยใช้ใหม่ครับ..เอ านิ้วหมดทั้งตัว แถมไปคว้านิ้วเรียว ๆ ของสาวข้าง ๆ มานั่งนับ ก็ยังไม่หมดวันเวลาที่หลงลืมไป..จริงไหม!
วันนี้ถ้าผมไม่บังเอิญเอาแม่แรงยกล้อหลังเจ้า "อัลฟ่า 2000 เบอร์ลิน่า" ของผมขึ้นเพื่อตั้งระยะหน้าเบรกซะใหม่ ให้การเดินทางไปจังหวัดพะเยา เยี่ยมเพื่อนเก่าของผมที่หลบไปทำวิจัย IMF ไม่สำเร็จสักที ผมคงไม่มีวันหาเจอหรอกว่า อาการที่รถของผมเครื่องยนต์วิ่งน็อกเป็นบ้าเป็นหลังท ุกครั้งที่ออกรถ และเวลาวิ่งอยู่ในเกียร์สองเกิดขึ้นเพราะอะไร มันเป็นอย่างนี้มานานแล้วกระมัง เพียงแต่ผมมิค่อยได้ใช้มันบ่อยนักในช่วงนี้ ด้วยว่า 150 แรงม้าที่ "ซด" ผ่านคาร์บูเรเตอร์ "เดลลอร์โต้" 40 มม. 4 ลิ้นเปิดพร้อมกันของมันนี้ "ดื่ม" ออกเทน 95 แถว ๆ 5.5 กม./ลิตร โดยเฉลี่ยเมื่อวิ่งผ่าเมืองกรุง!
ก่อนที่ผมจะตั้งระยะหน้าเบรก ที่จับกับจานเบรกนั้น ผมยังไม่ได้ขึ้นแม่แรง ผมเริ่มด้วยการปีนเข้าไปในรถเอาเท้าเหยียบเพื่อ "ย้ำ" แป้นเบรกสองสามครั้งก่อน เพื่อให้ผ้าเบรกขยับเข้าที่แน่นอนเสียก่อน จากนั้นค่อยจัดแจงเอาแม่แรงขึ้นล้อคู่หน้า คว้าเอา "สามขา" มาหนึ่งคู่ค้ำลอยเอาไว้จากนั้ก็ทำเช่นเดียวกันที่ล้อ คู่หลัง (หากมี 3 ขาคู่เดียว ก็ขึ้นคู่ล้อคู่ใดก่อนก็ได้) และแล้วผมก็พบว่าเบรกหลังผมติดแน่นเกินไปจนหมุนล้อไม ่เขยื้อนตามมือ ดังที่เคยตั้งหน้าเบรกก่อนเดินทางไกล ๆ และวิ่งเร็ว ๆ ผมลองไปขยับอีกล้อหนึ่งดูบ้าง ปรากฏว่าล้อติดแน่นเช่นเดียวกัน? แต่เมื่อทิ้งรถไว้สักพัก ประมาณ 2-3 นาที ล้อซึ่งติดตายเมื่อสักครู่นั้นก็ค่อยขยับเขยื้อนได้อ ิสระตามแรงมือปกติดังเดิม ประสบการณ์ที่แล้ว ๆ มาบอกผมทันทีรถผมประสบอาการเบรกติด (ค้าง) เข้าซะแล้ว

>>อ่านต่อ<<

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553

เก็บเงินอย่างไรให้ได้ปีละ 100,000 บาท

หากคุณเป็นพนักงานกินเงินเดือนและไม่มีรายได้อื่นที่ไหน การเก็บเงินให้ได้ปีละ 100,000 บาทค่อนข้างยากพอสมควร ซึ่งหากคุณไม่ทำในตอนนี้เวลาก็จะผ่านเลยไป ทำให้คุณไม่มีต้นทุนชีวิตที่จะไปต่อยอดธุรกิจอย่างอื่นได้เลย
ในช่วงที่ธุรกิจตกสะเก็ดแบบนี้ เป็นหนทางที่เราจะใช้กระแสสังคมมากดดันตัวเองให้เก็บตังค์เอาไว้ เพื่อความมั่นคงในวันข้างหน้า ซึ่งก่อนอื่นคุณควรทำบัญชีค่าใช้จ่ายว่าสามารถเก็บเงินได้เดือนละเท่าไร แล้วนำวิธีสุดประหยัดเหล่านี้ไปปฏิบัติ เพราะอย่างน้อย ๆ คุณต้องเก็บเงินให้ได้ 8,500 บาทต่อเดือนถึงจะได้ 100,000 บาทต่อปี
ตัดค่าใช้จ่ายหลักออกไป
ลองนับดูว่าคุณมีค่าใช้จ่ายหลักเป็นอะไรบ้าง เช่น ค่าหอพัก ค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำมันรถ ค่าผ่อนรถ เป็นต้น แจกแจงหนี้แล้วดูว่าสิ่งใดพอจะบรรเทาเบาบางลงได้บ้าง อย่างเช่น ถ้าคุณมีพี่น้องหรือเพื่อนสนิทแต่อยู่หอพักคนละที่กัน ลองมาอยู่ด้วยกันแล้วหารค่าห้องดูไหม สำหรับค่าโทรศัพท์เลือกโปรโมชั่นให้เหมาะสมกับตัวเอง และไม่ใช้โทรศัพท์เป็นเครื่องมือแก้เหงา สุดท้ายเลือกใช้บริการรถสาธารณะดีกว่า เพราะราคาถูกไม่ต้องวนหาที่จอดรถ แถมรวดเร็วอีกต่างหาก รวมแล้วคุณประหยัดเงินไปได้กว่า 4,000 บาทต่อเดือน
เลือกกินของคุณภาพ ราคาไม่แพง
ถ้าคุณสามารถทำกับข้าวจากที่บ้านไปกินที่ออฟฟิศได้ หรือเลือกกินอาหารจานเดียวราคาไม่แพงแต่มีคุณภาพ ซึ่งดีกว่าฟาสต์ฟู้ดเป็นไหน ๆ หากต้องการสังสรรค์กับเพื่อนก็ใช้วิธีให้บ้านใดบ้านหนึ่งเป็นเจ้าภาพ แล้วหารกันซื้อของเข้าไปทำอาหาร ราคาไม่แพงสะอาดและอิ่มกว่าด้วย เพราะถ้าคุณมัวแต่กินอาหารนอกบ้านประเภทฟาสต์ฟู้ดหรือนิยมสั่งแบบดีลิเวอรี่ นอกจากราคาแพงแล้วคุณก็ต้องเสียเงินค่าลดความอ้วน ค่าฟิตเนสอีกมากมาย ดูแลตัวเองง่าย ๆ ดีกว่า ช่วยให้คุณประหยัดไปได้ประมาณ 2,000 ต่อเดือน
จำกัดการซื้อเสื้อผ้าเครื่องสำอาง
จากที่เคยตามเทรนด์มาตลอด เข้าสู่ยุคเรียบง่ายดีกว่า ก่อนอื่นถ้าคุณจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้ซื้อแบบเรียบและสามารถใช้ได้นาน ๆ เพราะเสื้อผ้าที่ตามกระแสมักจะใส่ได้ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น และลองค้นตู้เสื้อผ้าหาชิ้นที่ไม่เคยใส่หยิบมา Mix & Match ได้ชุดใหม่ตามใจคุณ หรือแลกเปลี่ยนเสื้อผ้ากับเพื่อน ๆ บ้าง ส่วนเครื่องสำอางให้ซื้อตอนมีโปรโมชั่นหรือฝากคนที่ไปต่างประเทศซื้อหา เพราะจะลดได้มากกว่า 30% วิธีนี้ลดค่าใช้จ่ายได้ 1,500 บาทต่อเดือน
ชวนเพื่อนเข้าแก๊งคุณนายประหยัด
นั่งประหยัดอยู่คนเดียวเหงาแย่ ลองชวนเพื่อมาเข้าแกงค์ประหยัดด้วยกัน เพื่อเป็นกำลังใจและการแข่งขันไปด้วยในตัว คุณจะรู้สึกสนุกมากกว่านั่งอดออมอยู่คนเดียว นอกจากนั้นไม่ต้องเสียเวลาจับกลุ่มเอนเตอร์เทนด้วยการดูหนัง ร้องคาราโอเกะ โยนโบว์ลิ่งให้เสียเงินทอง ลองเช่าซีดีมาดูหรือออกกำลังกายตามสวนสาธารณะพร้อมกับเพื่อน ๆ สนุกเหมือนกันแถมประหยัดเงินอีกด้วย

งานปิดทองฝังลูกนิมิตปี 2553(xls)


คำอธิฐานการปิดทองฝังลูกนิมิต

ปิด นิมิต อุโบสถ ทศพล เริ่มลูกต้น กลางโบสถ์ โชติตระการ
ปิดนิมิต ลูกเอก เสกประส่าท งามโอภาส มาสเฉลิม เสริมสัณฐาน
เป็นนิมิต เตือนตา สาธุการ ท่ามกลางงาน บุญพิธี ผูกสีมา
เกิดชาติหน้า อย่ารู้เข็ญ ได้เป็นใหญ่ รูปวิไล เป็นเสน่ห์ ดังเลขา
ปิดนิมิต ลูกทิศ บูรพา ให้ก้าวหน้า เกียรติยศ ปรากฏไกล
ปิดนิมิต ลูกทิศ อาคเนย์ ขอให้เทวาประสิทธิ์ พิสมัย
ปิดนิมิตทิศทักษิณศักดิชัย ให้สมใจสมบัติ วัฒนา
ปิดนิมิต ลูกทิศ หรดี ขอให้ชีวิตมั่น ชันษา
ปิดนิมิต ทิศประจิมอิ่มอุรา ปราถนาใดได้ สมใจปอง
ปิดนิมิต ทิศพายัพ ดับทุกข์โศก นิราศโรค นิราศภัย ร้ายทั้งผอง
ปิดนิมิต ทิศอุดร กรประคอง ได้เงินทองสมหมาย ทุกรายการ
ปิดนิมิต ทิศอิสาน ประการท้าย ให้สมหมาย ได้สุข ทุกสถาน
รวมเก้า ลูกสุขใส ใจเบิกบาน กว่าจะถึง ซึ่งนิพพาน เมื่อนั้นเทอญ
 >>download<<

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553

ถ้าต้องการหนี้คืนเร็วๆด่วนๆต้องทำบุญอะไรให้เจ้ากรรมนายเวร


ให้แก้กรรม ด้วยการ ถวายข้าวสาร หรือของชิ้นเล็กๆ เช่น น้ำตาลทราย สัก 3 กก. ให้ที่วัด แล้วอุทิศกุศลชดใช้ กรรมเก่า ที่เรา เคยไม่ใช้หนี้เขาในอดีตชาติ ทุกๆชาติ
เพราะข้าวสาร 1 เม็ด จะไปคูณอานิสงส์ ในศาสนาพุทธ จะได้ข้าวสาร 1 เม็ดที่ถวายไป ได้อานิสงส์กลับมาเป็นล้าน เม็ด เลยได้ผลคือบุญเยอะ อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรเขา เขาจะได้ไว ทุก 1 เม็ดข้าว ขอใช้ ทุก 1 คน ที่เราเคยติดหนี้เขา
เราติดหนี้เขา 1 บาท ผ่านไปหนึ่งชาติ ต้องใช้เขาประมาณ 1 พันบาท ลองคิดดูในแง่ปัจจุบันก็ได้ แง่วิทยาศาสตร์ ค่าเงิน 1 บาทใน 100 ร้อยปี ที่แล้ว กับ 1 บาท ในวันนี้ ต่างกันนะครับ
บาปกรรมและกาลเวลา คูณเข้าไป เรื่อยๆ กรรมจึงส่งผลให้เราจะมีเหตุ ให้เงินออก โดยไม่คาดคิดบ้าง ให้ข้าวของเสียหายบ้าง เก็บเงินไม่อยู่บ้าง คนยืมตังค์แล้ว เหนียวหนี้บ้าง นี่แหละกรรมจากอดีตชาติ เคยไปเอาทรัพย์เขามา แล้วไม่ได้ชดใช้
หากใครมีลูกหนี้ ที่เหนียวหนี้มากๆ ให้ใช้ข้าวสาร เท่า น้ำหนักตัว บวก 1 กก. เช่น หนัก 60 กก. ก็นำไปถวายวัด 61 กก.
ข้าวสารเท่าน้ำหนักตัว จะใช้หนี้เก่า ส่วน 1 กก. จะสร้างบุญใหม่ ให้ตนเอง
มันอาจจะใช้กรรมที่ปลายเหตุ แต่ก็ดีกว่า ปล่อยให้กรรมลอยนวล มีปัญหาในชีวิตเราต่อไป เราต้องทำบุญ หนุนดวงขึ้น